ศัตรูเบอร์หนึ่ง

2348 คำ
แดดยามเช้าสาดเข้ามาผ่านช่องผ้าม่านเล็ก ๆ บังคับเปลือกตาบางของฉันให้ลืมขึ้นอย่างไม่เต็มใจ มือเล็กควานหาผ้าห่มเตรียมจะยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าที่โดนแดดสาดกระทบใส่ แต่ต้องรีบสะดุ้งขึ้นมาจนตัวโยน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉันกวาดสายตามองไปรอบห้องแต่ไม่พบกับเงาของพี่ไทน์ที่นี่ เขาน่าจะ ลุกออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว “จะกลับทำไมไม่บอกกันก่อนนะ” ว่าพลางมุ่ยหน้าอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปหวังจะเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขึ้นดื่ม ทว่าก็ต้องล้มพับลงไปด้วยความเจ็บหน่วง ช่องทางด้านล่าง ที่ถูกพี่ไทน์โจมตีอย่างหนักกำลังประท้วงให้ร่างกายหยุดขยับ ก่อนที่มันจะร้าวระบมไปมากกว่านี้ “ซี้ดดด... เจ็บอะไรขนาดนี้เนี่ย” ปกติก็ไม่ใช่คนเจ้าสำออย ฉันมักจะสร้างเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวไม่เว้น แต่ละวัน แต่สำหรับการเปิดซิงครั้งแรกมันหนักหน่วงเกินไปจริง ๆ เจ็บเหมือนเครื่องในจะหลุดออกมาจากช่องทางเล็ก ๆ นี้เลย ครืดด... เสียงมือถือดังขึ้นมาทำเอาฉันหูผึ่ง คาดหวังลึก ๆ ว่าจะเป็นพี่ไทน์จึงรีบควานมือไปกดรับ ทว่าต้องผิดหวังเมื่อพบว่าสายที่โทรเข้ามาคือพ่อ “จ้ะพ่อ” “เป็นไงบ้างตัวแสบ เปิดเทอมแล้วเงียบหายเลยนะ นึกว่าจมน้ำตายเหมือนในข่าวรับน้องแล้ว” ผู้เป็นพ่อเอ่ยติดตลก แต่จริง ๆ ก็คงเป็นห่วงฉันจากใจนี่แหละ เพราะตั้งแต่เปิดเทอมก็ไม่ได้โทรกลับไปหาทางบ้านเลย “งานมันยุ่งน่ะพ่อ แล้วนี่ออกไปสวนยัง” “ยังเลย รอคุณหญิงแตงอ่อนห่อกับข้าวให้อยู่ ตั้งแต่แกไม่อยู่ เนี่ยนะวุ่นวายมากกก อะไรก็ติดขัดไปหมด กล้วยล็อตใหม่ที่เพิ่งส่งออกไปก็มีปัญหาอีก แกรีบเรียนให้จบแล้วกลับมาช่วยพ่อขนกล้วยเลยนะ” ฉันกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย อุตส่าห์หนีมาเรียนบริหารแล้ว ยังจะให้กลับไปทำสวนอีกเหรอ “หนูเป็นผู้หญิงนะพ่อ กะจะไม่ให้แต่งตัวสวย ๆ นั่งในห้องแอร์เลยเหรอ” “ก็กลับมาปลูกกล้วยในห้องแอร์สิ” ดูเขาพูดเข้า แต่ละอย่างเป็นไปไหนที่ไหนล่ะ “แล้วไปอยู่ที่นั่นเป็นไงบ้าง มีหนุ่ม ๆ มาจีบบ้างไหม?” นั่นไง ว่าแล้วเชียวต้องเลี้ยวมาเรื่องนี้ “แต่งตัวเหมือนแม่ลูกสองแบบนี้ใครจะมาสนใจล่ะพ่อ” “ให้มันจริง แต่งให้มันได้แบบนี้จนเรียนจบล่ะ ไอ้นุ่งกระโปรงยาวคืบเดียวนี่อย่าให้เห็นเชียวนะ เดี๋ยวตามไปฟาดถึงกรุงเทพฯ” “ขู่อะไรลูกอีกฮะ!” เสียงที่แทรกเข้ามาคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากคุณหญิงแตงอ่อน ผู้หญิงคนเดียวที่ปราบพ่อฉันได้อย่างอยู่หมัด “โทรไปกวนลูกอีกแล้วใช่ไหม บอกแล้วไงว่าถ้ามันว่างเดี๋ยวมัน ก็โทรกลับมาเอง ไปกวนเวลาเรียนลูกทำไมฮะ” “แค่นี้นะตอง แม่แกจะกินหัวพ่อแล้ว อ้อ! แล้วอย่าลืมที่ตกลงกันไว้นะ ห้าม มี แฟน จนกว่าจะเรียนจบ” “จ้าา” ฉันตอบกลับเสียงหวาน พลางยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาไขว้กันไว้เพื่อแก้เคล็ดเวลาเอ่ยคำโกหก ปลายสายถูกตัดไปแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นมาเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วเดินอย่างทุลักทุเลเพื่อกลับมาเปิดโน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงาน จอภาพขนาดใหญ่เผยให้เห็นภาพผู้ชายตัวสูงในชุดนักกีฬาแขนกุดสีส้ม กำลังจะกระโดดชู้ตลูกบาสลงห่วง เป็นภาพที่เท่ระเบิดไปเลย “ในที่สุด หนูก็มีตัวตนในสายตาของพี่สักที” ริมฝีปากบางทาบจูบที่หน้าจอโน้ตบุ๊กอย่างสุขล้น ผู้ชายคนนี้คือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันตะเกียกตะกายมาเรียนไกลถึงที่นี่ แม้จะถูกพ่อสั่งห้ามและ ตั้งกฎเอาไว้สูงเฉียดฟ้าก็ไม่เคยหวั่น ก็ใจมันรักไปแล้วนี่ รักมา 6 ปีแล้วด้วย “ไหนดูซิ พี่ไทน์ไปเรียนหรือยังนะ” นิ้วเรียวกดจิ้มแป้นพิมพ์ค้นหากลุ่มเอฟซีพี่ไทน์ ก่อนจะเจอโพสต์ล่าสุดคือภาพที่เขาอยู่ที่โรงอาหารพร้อมกับพี่เรสแล้วก็... ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เพียงแค่เห็นว่าคนชื่อแพมอยู่ร่วมโต๊ะด้วยฉันก็เบ้ปากออกมาโดยอัตโนมัติ เกลียดจริง ๆ เลย แค่พ่อสนิทกันทำไมต้องมาทำตัวติดกับพี่ไทน์เหมือนเป็นเมียเขาด้วย หน้าด้าน! ฉันเม้มปากเล็กน้อยอย่างมีแผนร้าย ในตอนนี้โรงอาหารน่าจะแน่นจนไม่มีที่นั่ง ถ้าลองไปที่มอในตอนนี้ก็อาจจะโชคดีได้นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับพี่ไทน์ก็ได้... คิดได้แบบนี้ก็ไม่รอช้า รีบกระโดดลงจากเตียงแล้วจัดการธุระส่วนตัวให้แล้วเสร็จ แต่งตัวอยู่หน้ากระจกไม่นานก็นั่งวินมาที่ตึกโรงอาหารของคณะ ตามจริงก็ตั้งใจจะเดินมานั่นแหละ แต่ไม่ไหวจริง ๆ เจ็บเหมือนมดลูก จะหลุดออกมาอยู่แล้ว ส่วนรถของฉันนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย พ่อบอกว่าอยู่ หอในไม่จำเป็นต้องใช้รถ แต่เขาหารู้ไม่ว่าฉันแอบมาเช่าอยู่ที่หอนอก... มาถึงโรงอาหารก็มองเห็นเป้าหมายทันทีเพราะเด่นจนสะดุดตา และ เป็นจังหวะที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันพอดี แต่เขาเพียงแค่จ้องมองแวบเดียว แล้วหันไปสนใจจานข้าวต่อ ใจร้ายจังพี่ไทน์ เมื่อคืนทั้งกอดทั้งหอม ตื่นเช้ามาแกล้งไม่รู้จักกันซะได้ “เอากะเพราแล้วก็ไข่ดาวไม่สุกค่ะ” ฉันเดินไปสั่งข้าวแล้วแกล้งเดินหาที่นั่ง จงใจให้พี่เรสมองเห็นแล้วตะโกนเรียก และแน่นอนว่าได้ผล “อ้าว น้องก้านตอง มองหาที่นั่งอยู่เหรอ?” เป๊ะอย่างกับเขียนบทให้เลยนะพี่เรส “ใช่ค่ะพี่เรส” “มา ๆ งั้นนั่งด้วยกันก็ได้ ตรงนี้ยังว่าง” พี่เรสนั่งอยู่คนเดียวเลยขยับให้ฉันนั่ง ส่วนอีกฝั่งคือพี่ไทน์ที่นั่งอยู่กับพี่แพม คนที่ฉันไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น “เอ่อ...” “ไม่ต้องเกรงใจ นั่งได้ ไอ้ไทน์มันไม่กัดหรอก ใช่ไหมไทน์” พี่เรสโยนคำถามให้กับคนที่นั่งนิ่ง เขาเงยหน้ามองฉันครู่หนึ่งแล้วตอบออกมาเสียงเรียบ “จะนั่งก็นั่งสิ ไม่ได้มีชื่อใครติดไว้ที่โต๊ะสักหน่อย” ประโยคหมางเมินไม่ต่างไปจากเข็มนับร้อยที่พุ่งเข้ามาปักลงที่กลางอก ใจร้ายไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ “เดี๋ยว!” ก้นยังไม่ทันได้แตะลงเก้าอี้ก็ต้องชะงัก เพราะพี่แพมออกคำสั่งเสียงดัง จนโต๊ะข้าง ๆ หันมามอง “จำได้ว่าเมื่อกี้น้องยังไม่ไหว้พวกพี่เลยนะ ลืมมารยาทเอาไว้ที่ห้องเหรอ?” “...” ปากดีจริง ๆ ยัยนี่ “สวัสดีค่ะพี่ ๆ” “พี่ ๆ เหรอ? พี่ ๆ คนไหนอะ นั่งกันอยู่ก็ตั้งสามคน” “โอ๊ยย นั่งกันสามคนก็ไหว้พี่สามคนเนี่ยละ นั่งเถอะน้องก้านตอง” พี่เรสรั้งแขนฉันให้นั่งลงก่อนจะก้มลงกินข้าวต่อด้วยท่าทางสบาย ๆ ปล่อยให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงพลางจ้องมองฉันด้วยความขุ่นเคือง “ไทน์ ปิดเทอมหน้าคุณพ่อว่าจะพาไปพักผ่อนแถวญี่ปุ่นน่ะ ไทน์ไปด้วยกันนะ” หญิงสาวคลายแขนจากการกอดอกแล้วหันไปเกาะแขนผู้ชายที่อยู่ข้างกันแทน สารภาพตามตรงเลยว่าฉันรู้สึกไม่ดีที่ผู้หญิงคนนี้เข้าใกล้ผู้ชายที่ฉันหมายปอง แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ฉันก็ไม่ได้มีสิทธิ์มากขนาดนั้นนี่ “ไม่อะ ไปบ่อยแล้ว เบื่อ” คำตอบของพี่ไทน์ทำเอาฉันชอบใจเผลอยิ้มกริ่มออกมาอย่างลืมตัว แต่ก็รีบก้มหน้าแล้วแสร้งว่ากินข้าวอย่างตั้งใจต่อ “งั้น... ไปที่อื่นดีไหม ไทน์อยากไปไหนบอกมาเลย” อีกฝ่ายยังไม่ยอมหยุดตื๊อ ตั้งใจจะชวนพี่ไทน์ไปด้วยให้ได้ “ไม่อยากไปไหนทั้งนั้นแหละ ช่วงปิดเทอมต้องอยู่ช่วยงานบริษัทพ่อ” “เอ้อ พ่อมึงเปิดบริษัทส่งออกผลไม้ใช่ปะ” พี่เรสแทรกขึ้นมากลางบทสนทนา “อืม” “งั้นดีเลย บ้านน้องก้านตองเขาก็มีสวนกล้วย สวนใหญ่ที่สุดในประเทศเลยนะเว้ย มึงไม่สนใจส่งออกกล้วยเหรอ?” ฉันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อมีชื่อตัวเองในบทสนทนา แต่ก็ต้องรีบหลบตาเมื่อพบว่าพี่ไทน์กำลังจ้องมองฉันอยู่ “ไม่สนอะ ไม่ชอบกินกล้วย” “กูไม่ได้บอกให้มึงกิน กูบอกให้มึงไปเสนอพ่อมึงดู” “โอ๊ย กะอีแค่กล้วย ซื้อสวนไหนมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละเรส” “ไม่เหมือนค่ะ” ฉันชะงักมือที่กำลังตักไข่แดงเอาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองผู้หญิงปากดีอย่างท้าทาย “กล้วยที่สวนเป็นกล้วยพันธุ์ดีที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แล้วที่สำคัญ กล้วยที่เราปลูกเป็นพันธุ์ใหม่ ครอบครัวเราช่วยกันเพาะพันธุ์นี้ขึ้นมา และเชื่อว่าในอีกไม่นานมันจะสามารถตีตลาดได้ หากเซ็นสัญญากันไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ มันก็เป็นผลดีไม่ใช่เหรอคะ” “แล้วรู้ได้ไงว่าจะตีตลาดได้?” อีกฝ่ายชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ แววตาอันแข็งกร้าวนี้น่ากลัวอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ขอโทษนะ พ่อไม่เคยสอนให้อีก้านตองกลัวใคร... “เขาเก่งถึงขนาดเพาะพันธุ์กล้วยได้ก็แปลว่าเขาวางแผนมาดีแล้วแหละน่า ไม่เก่งจริงคงขยายสวนกล้วยจนใหญ่ที่สุดในประเทศไม่ได้หรอก” พี่เรสช่วยเถียง คงกลัวว่าฉันจะเผลอพลั้งปากเถียงอีกฝ่ายจนพี่ไทน์จับได้ว่าฉันไม่ได้ใสซื่อบ้องแบ๊วอย่างที่ต้องการสร้างภาพ “แต่จะว่าไปพี่ก็ไม่แปลกใจหรอกนะที่บ้านน้องทำสวน เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเนี่ย...” เธอมองสำรวจฉันพลางเบ้ปากเหยียดหยาม คงจงใจจะพูดให้ฉันอับอาย “ขอโทษที่ต้องพูดตรง ๆ นะ แต่แว่นตาที่น้องใส่อะ ไม่ได้ต่างไปจากป้าแม่บ้านของพี่เลย” “แพม...” พี่ไทน์หันไปมองอีกฝ่ายเชิงตำหนิที่แขวะฉันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ แต่ใครจะไปยอมให้แซะฝ่ายเดียวกันล่ะ “ไม่เห็นเป็นไรเลย น้องเขาก็ไม่ได้โกรธนี่ ใช่ไหมคะน้องก้านตอง” “ค่ะ ไม่โกรธเลย ของแบบนี้มันใช้คล้าย ๆ กันได้ ขนาดสีลิปสติกบนปากพี่แพม ยังเหมือนกับคนงานในสวนกล้วยของตองเลยค่ะ” “...” ฉันยิ้มบาง ๆ ส่งให้อีกฝ่ายอย่างใสซื่อ ส่วนพี่เรสขำจนกรามค้างไปเรียบร้อยแล้ว “แพมจะไปซื้อน้ำ! ไทน์เอาอะไรไหมคะ” เจ้าของใบหน้าบึ้งตึงหันไปถามพี่ไทน์ เพราะเธอคงไม่อาจอยู่ร่วมโต๊ะ กับฉันได้นานกว่านี้ “ไม่อะ” ยัยพี่แพมเดินฟึดฟัดออกไปแล้ว แต่พี่เรสยังขำน้ำหูน้ำตาไหลอยู่ “เป็นรุ่นน้อง ไม่ควรต่อปากต่อคำกับรุ่นพี่นะ มันไม่น่ารัก” ว่าแล้วเชียว... โดนจนได้ “ขะ ขอโทษค่ะพี่ไทน์ หนูไม่ได้มีเจตนาจะต่อปากต่อคำนะคะ หนูก็แค่...” “ฉันเห็นว่าเธอต่อปากต่อคำ อย่าเถียง” “...” น้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยก่อให้เกิดความวูบไหวที่หน้าอก ฉันนึกว่าความสัมพันธ์ของเราจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะยังอยู่ที่เดิม ฉันยังคงอยู่ห่างไกลจากพี่ไทน์เหมือนเดิม แม้จะยอมแลกด้วยร่างกายแล้วก็ตาม... “แล้วมึงจะดุน้องทำไมเนี่ย น้องมันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย” พี่เรสออกโรงปกป้องฉันอีกครั้ง แต่กลับโดนพี่ไทน์มองตาขวางแทน “แล้วมึงไปสนิทกับน้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้เรส ถึงได้รู้เรื่องเขาเยอะขนาดนั้น” “...” ทั้งฉันและพี่เรสนิ่งค้างไปโดยอัตโนมัติ ในสมองเริ่มประมวลหาคำแก้ตัว อย่างหนัก “เอ่อ...” “ว้ายย!!” ยังไม่ทันที่พี่เรสจะได้เอ่ยตอบ ฉันก็กรีดร้องออกมาอย่างตื่นตกใจเมื่อพบว่าน้ำหวานสีแดงถูกราดลงตัวตั้งแต่หัวไหล่มาจนถึงกระโปรง “อุ๊ย!! เป็นอะไรหรือเปล่าคะน้องก้านตอง โทษทีนะ เมื่อกี้พี่ไม่ทันระวัง” ฉันยืนขึ้นแล้วปัดคราบน้ำแดงออกจากอกลวก ๆ รู้สึกโกรธจนควันออกหู แต่ก็พยายามระงับและขบฟันกรามเอาไว้แน่น “ตายจริง ได้เวลาคาบแรกแล้ว เราไปเรียนกันเถอะ เดี๋ยวสาย” คนต้นเหตุไม่คิดที่จะรับผิดชอบใด ๆ ซ้ำยังลากแขนพี่ไทน์ออกไปด้วย ในตอนแรกเขาก็ดูเหมือนจะอยู่ช่วยฉันก่อน แต่สุดท้าย... เขาก็เดินจากไปพร้อมกับผู้หญิงร้อยมารยาคนนั้น “รีบไปล้างตัวนะน้องก้านตอง พี่อยากช่วยจริง ๆ แต่มันได้เวลาเข้าเรียนแล้ว” “ไม่เป็นไรค่ะพี่เรส ขอบคุณมากนะคะ” ฉันยกมือไหว้พี่เรสอีกรอบด้วยความซึ้งใจที่เขาคอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ต่างกับผู้ชายอีกคน คนที่พยายามแค่ไหนก็ไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในสายตาเขาสักที...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม