Ep.11
Priew talk.
สุดท้ายฉันก็ต้องกลับมานั่งอยู่ที่เตียงผู้ป่วยอีกครั้งจนได้ และตอนนี้ฉันได้แต่นั่งคอตกก้มหน้าให้พี่หมอจีนตรวจร่างกายอีกรอบ...
ฉันบอกว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้วพี่หมอก็ไม่ฟังที่ฉันพูดเลย จ้องแต่จะตรวจอย่างเดียว แถมยังทำสายตาดุๆ ใส่ฉันอีก แล้วฉันจะไปสู้อะไรได้ล่ะ นอกจากยอมกลับมานั่งที่เตียงอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือก
"หายใจเข้าลึกๆ" พี่หมอสั่งพร้อมกับจับไอ้หูฟังหมอ (Stethoscope อ่านว่า สเต็ตโทสโคป) ที่คล้องคออยู่ใส่หูตัวเอง ก่อนจะจับอีกด้านยื่นออกมาจ่อที่หน้าอกฉัน เพื่อเตรียมตรวจ
"ฮื้อออออออออ" ส่วนฉันทำตามที่เขาสั่งทันที แต่เขากลับไม่ยอมแตะมันกับร่างกายฉัน ทว่ากลับช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าฉันเรียบนิ่งแทน
"แรงไป"
"อ้าว" ก็บอกให้หายใจเข้าลึกๆ แต่กลับบอกแรงไปซะงั้น
"ทำดีๆ"
ฉันมองหน้าพี่หมอ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
"…" ก่อนจะทำตามที่พี่หมอจีนบอกอีกครั้ง เพราะฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วอะ มันเครียด
พี่หมอใช้หูฟังหมอแตะลงเหนือหน้าอกฉันขึ้นมานิดนึง เพื่อฟังเสียงหัวใจ ก่อนจะแตะลงไปที่ปอด และส่วนต่างๆ อีก 2-3 จุด ก่อนจะถอดมันออกจากหูลงมาคล้องคอไว้เหมือนเดิม และหยิบไอ้ที่เขาเรียกว่าชาร์ตผู้ป่วยขึ้นมาจดอะไรก็ไม่รู้ยุกยิกๆ ก่อนจะส่งคืนมันกลับไปให้พี่พยาบาล ที่คอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการตรวจครั้งนี้
จากนั้นพี่หมอก็พูดอะไรกับพี่พยาบาลไม่รู้น่าเป็นศัพท์ทางการแพทย์แหละ ฉันฟังไม่ออก ก่อนที่พี่พยาบาลจะเดินออกจากห้องไป
เหลือแค่พี่หมอที่ยังคงยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของฉัน ไม่นานก็พูดขึ้น...
"ร่างกายปกติดี ไม่มีส่วนไหนช้ำและเสียหาย..."
"เห็นมั้ย ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันหายดีแล้ว หมอก็ไม่เชื่อ!" พอได้ยินหมอพูดแบบนั้น ฉันก็รับเงยหน้าขึ้น แล้วพูดแทรกกลับไปทันทีไม่รอให้พี่หมอพูดจบ
"แต่ภายนอก.."
"โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกน่า แผลแค่นี้จิ๊บๆ หมอ งั้น...ถ้าไม่เป็นไรแล้ว ฉันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ปะ" ฉันเอ่ยถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง ก็พี่หมอเป็นคนพูดเองว่าฉันไม่เป็นไรแล้ว แบบนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องอยู่แล้วแหละ
พี่หมอมองหน้าฉันนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบ
"อืม"
"เย่! งั้นฉันออกตอนนี้เลยนะ" อิอิ ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
"อืม ไปรับยาแล้วก็กลับได้เลย" พอพี่หมอพูดจบฉันก็ฉีกยิ้มจนหน้าบาน ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์โอเคโชว์ให้พี่หมอดู
"โอเค ขอบคุณค่ะ"
ฝ่ายการเงิน
"หือ ? ใช่เหรอคะ รบกวนพี่ช่วยเช็กดูอีกรอบได้ไหมคะ ฉันจำได้ว่าฉันยังไม่ได้จ่ายค่ารักษานะคะ"
พี่ที่ห้องการเงินหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ก้มมองบัตรประชาชนฉันสลับไปด้วย พร้อมกับคิ้วที่ขมวดขึ้นมานิดๆ
"จ่ายแล้วจริงๆ นะคะ นางสาวนลินญา เลิสสกุล ในระบบขึ้นว่าจ่ายแล้วค่ะ" ฉันขมวดคิ้วคิดหนัก ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง
"งั้น...รบกวนพี่เช็กให้หน่อยค่ะว่าใครเป็นคนจ่าย" เธอหันกลับไปมองหน้าจอตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบฉัน
"ประกันเป็นคนจ่ายค่ะ"
"หือ !?" พอบอกว่าเป็นประกันจ่าย ฉันก็ยิ่งงงหนักเลยทีนี้ จะเป็นประกันจ่ายได้ไง ก็ฉันไม่มีประกันอะไรเลย ประกันสังคมก็ไม่มี ประกันเอกชนก็ไม่ได้ทำ เป็นไปได้ยังไงกัน
และพอเห็นฉันทำหน้างง พี่การเงินเลยอ่านรายละเอียดให้ฉันฟังต่อ
"ในนี้เขียนไว้ว่าเป็นประกันของทุนการศึกษาค่ะ"
"ทุนการศึกษาเหรอคะ ?"
"ค่ะ แล้วน้องเป็นเด็กทุนหรือเปล่าล่ะ"
"...เป็นค่ะ" ฉันพยักหน้าตอบไปอย่างเอ๋อๆ เพราะตัวฉันเองก็ยังไม่กระจ่าง และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีประกันอยู่ในทุนการศึกษานั้นด้วย
"งั้นก็ใช่แล้วล่ะค่ะ ประกันเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้อง"
"...งั้นเหรอคะ ?"
"ใช่ค่ะ"
"เอ่อ...งั้นก็แปลว่าหนูไปรอรับยาได้เลยไหมคะ ?"
"รอรับยาได้เลยค่ะ"
เป็นทุนการศึกษาที่ดีจัง มีประกันสุขภาพให้ด้วย ไม่เคยเห็นทุนการศึกษาที่ไหนมีแบบนี้เลย เพิ่งเคยเห็นก็ครั้งนี้แหละ
แล้วที่ผ่านมาฉันไปเสียเงินให้คลินิกทำไมตั้งหลายครั้ง เพราะความไม่รู้แท้ๆ เลย
พอฉันรับยาเสร็จเรียบร้อย ฉันก็ก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ก่อนจะแวะซื้อขนมแล้วเดินออกไปหน้าโรงพยาบาลเพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับหอ กะจะไปนอนพักเอาแรงสักหน่อย เพราะตอนเย็นต้องไปทำงานต่อ
ส่วนเหมย...พอเรื่องถึงหูแม่มัน แม่มันก็มารับและพาย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐที่มันมีสิทธิ์รักษา และตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกโรงพยาบาลบาล เพราะอาการค่อนข้างหนักพอสมควร เพราะหัวแตกและเสียเลือดไปเยอะ หมอเลยให้อยู่ดูอาการต่ออีกวันสองวัน
ฉันใช้เวลานั่งรถเมล์ประมาณ 40 นาทีก็มาถึงป้ายแถวหอพักของฉัน และวันนี้ฉันก็เลือกใช้บริการพี่วินให้เข้าไปส่งฉันที่หน้าตึก เพราะร่างกายฉันไม่พร้อมที่จะเดินจริงๆ มันปวด มันล้า และระบมไปทุกส่วนของร่างกายเลย
มาถึงหน้าหอ ฉันก็จ่ายเงินพี่วิน ก่อนจะล้วงเอากุญแจห้องออกมาแล้วเดินเข้าไปข้างใน แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านห้องพี่ติณณ์ ฉันก็ต้องหยุดชะงัก
เพราะฉันได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันดังออกมาจากข้างในห้อง...เหมือนจะมีเสียงผู้หญิงด้วยนะ
O_O!!!
ฉันยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันทีที่นึกอะไรขึ้นมาได้ อย่าบอกนะว่า...พี่ติณณ์มีแฟนแล้ว และตอนนี้ก็กำลังทะเลาะกับแฟนอยู่
และด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ขยับเข้าไปใกล้ๆ ประตู ก่อนที่จะเอาหูแนบลงไป แต่ฉันก็จับใจความอะไรไม่ได้เลย เสียงมันขาดๆ หายๆ
เห้อ อดเผือกเลยฉัน
ฉันตัดสินใจเอาหูออก พร้อมกับถอยออกมาจากประตูห้องพี่ติณณ์เล็กน้อย แต่มันกลับเป็นจังหวะเดียวกันกับประตูที่ถูกเปิดออกมาอย่างแรง โดยผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง
"O_O!!"
สวย! สวยมาก! ผู้หญิงที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องพี่ติณณ์ตอนนี้เธอสวยมาก สวยแบบไร้ที่ติ! สวย หรู ดูแพง ครบเลย ทรีอินวัน!!
แต่เดี๋ยวก่อนอีเปรี้ยว! สิ่งที่มึงควรสนใจตอนนี้ไม่ใช่ความสวยของเธอ แต่เป็นน้ำตาของผู้หญิงตรงหน้าต่างหาก เพราะตอนนี้เธอกำลังร้องไห้อยู่!
ผู้หญิงที่เพิ่งเปิดประตูออกมา เธอหันมามองหน้าฉันเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
"อ้าว" ปล่อยให้ฉันอ้าปากค้างและยกมือขึ้นเกาหัวแกร็กๆ มองตามเธอที่เดินออกไปอย่างงงๆ มองแต่ไม่พูดแล้วก็เดินออกไปเฉยเลย ตอนแรกก็นึกว่าจะพูดอะไรซะอีก
ผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปจนพ้นสายตาแล้ว ฉันจึงค่อยๆ โผล่หน้าส่องเข้าไปในห้องพี่ติณณ์เพราะประตูไม่ได้ปิด ก่อนจะค่อยๆ ย่องเข้าไปเมื่อไม่เห็นใครอยู่ข้างใน แต่ก็ยังไม่เจอเจ้าของห้องเลย มีเพียงกลิ่นและควันที่ลอยมาจากนอกระเบียงเท่านั้นที่บอกให้ฉันรู้ว่าเขาคงกำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น...
หมดกัน! หมดกันภาพคุณหมอที่ฉันเคยวาดเอาไว้ พอได้มารู้จักกับอิพี่ติณณ์แล้วเหมือนฉันได้เปิดโลกของหมอเลยทันที เพราะหมอในความคิดของฉันคือ หล่อ ดูดี อ่อนโยน เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ
แต่อิพี่ติณณ์นี่ตรงข้ามกับที่ฉันคิดทุกอย่างเลย ทั้งมีเรื่องชกต่อย ปากจัดไม่มีความอ่อนโยนสักนิด บุหรี่ก็สูบ ส่วนเหล้านี่คงไม่ต้องพูดถึง น่าจะไม่เหลืออะ
และทั้งหมดที่พูดไปมันเป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ของคุณหมอที่ถูกฉันวาดขึ้นมาเพียงเท่านั้น ฉันไม่ได้จะติดสินว่าคนที่ไม่ได้เป็นแบบที่ฉันคิดเป็นคนไม่ดีนะ เขาก็คงจะเป็นคนดีของเขาแหละ แต่ฉันแค่ถูกปลูกฝังมาว่าอาชีพหมอต้องมากับความเพียบพร้อมก็เท่านั้น
"...พี่ติณณ์" ฉันเดินเข้าไปเกาะขอบประตูระเบียง ก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่เสียงเบา
"…" พี่ติณณ์เหลือบมามองฉันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพ่นควันบุหรี่ออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าเครียดๆ และไม่คิดจะสนใจฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้เลย
"เอ่อ...ฉันซื้อขนมมาฝาก ฉันวางไว้บนเตียงนะ" พูดจบฉันก็รีบเดินเอาขนมไปวางไว้ให้เขา ก่อนจะรีบเดินกลับห้องตัวเองทันที เพราะสีหน้าของพี่ติณณ์เมื่อสักครู่นี้เขาดูเครียดมากจริงๆ และคงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า...