ตอนที่ 2 น่าสนใจ
"รายชื่อผู้ที่ผ่านเกณฑ์การสัมภาษณ์เมื่อวานนี้ค่ะ"
"ผ่านแค่ห้าคนเองเหรอครับ" ศรัณภัทรรองประธานกรรมการผู้บริหารที่พึ่งได้รับตำแหน่งมาหมาดๆ เงยหน้าถามด้วยความสงสัย หลังจากรับเอกสารทั้งห้าฉบับจากหัวหน้าฝ่ายบุคคลมา แล้วเห็นว่ามีคนผ่านเกณฑ์เพียงแค่ห้าคนเท่านั้นเอง
"ใช่ค่ะ ทางฝ่ายได้คัดกรองผู้ที่มีคุณสมบัติครบตามที่เราต้องการ ทั้งความรู้ความสามารถ บุคลิก และทักษะในการตอบคำถาม จากผู้มาสัมภาษณ์ทั้งหมดสามสิบคน ทางฝ่ายมีความเห็นพ้องตรงกันว่า
ผู้สัมภาษณ์ทั้งห้าคนนี้มีคุณสมบัติครบทุกอย่างค่ะ"
ศรัณภัทรพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะส่งเอกสารบางส่วนไปให้พี่ชายหรือคีรินภัทรที่พึ่งมารับตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการผู้บริหารพร้อมกัน
คีรินภัทรกับศรัณภัทรเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่พึ่งกลับมาจากลอนดอน ประเทศอังกฤษ หลังจากจบการศึกษาในระดับปริญญาโทที่นั่น
ศรัณภัทรไปเรียนต่อด้านวิศวกรซอฟแวร์ ส่วนคีรินภัทรเรียนต่อปริญญาเอกทางด้านบริหารธุรกิจ
คีรินภัทรเรียนจบก่อนศรัณภัทรประมาณปีนิดๆ แต่เขาเลือกที่จะทำงานหาประสบการณ์อยู่ที่ประเทศอังกฤษก่อน และเมื่อศรัณภัทรเรียนจบหลักสูตร เขากลับมาประเทศไทยเพื่อรับตำแหน่งพร้อมกันกับน้องชาย ด้วยทั้งสองพึ่งรับตำแหน่งใหม่กันทั้งคู่ ก็เลยยังไม่มีเลขาฯ หรือผู้ช่วย ทางฝ่ายบุคคลของบริษัทจึงต้องประกาศรับสมัครงาน เพื่อหาเลขาฯ ส่วนตัวให้ท่านรองฯ คนใหม่ทั้งคู่
"สงสัยอะไรหรือเปล่า เรน" ประวิตร...ประธานบริษัทหรือบิดาของชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่หัวโต๊ะในห้องประชุมถามขึ้น เมื่อสังเกตเห็นคิ้วของคีรินภัทรลูกชายคนโตขมวดเข้าหากัน คล้ายว่ากำลังมีเรื่องสงสัย
"เปล่าครับ" คีรินภัทรเงยหน้าขึ้นมาตอบผู้เป็นพ่อ เขาเลือกที่จะเก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะก้มมองเอกสารตรงหน้าต่อ
แต่เหมือนจะไม่ใช่แค่เขาที่มีเรื่องสงสัยอยู่คนเดียว เพราะน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็สงสัยเหมือนกันกับเขา แต่มันเลือกที่จะเอ่ยถาม ไม่เก็บเอาไว้เหมือนเขา
"ผมว่าคุณสมบัติของคุณคนนั้นก็น่าครบตามที่เราต้องการนะ ผมจำได้ว่าเธอจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยนี่ เธอไม่ผ่านเกณฑ์ข้อไหนเหรอครับ" ศรัณภัทรเงยหน้าขึ้นไปถามหัวหน้าฝ่ายบุคคล
"เอ่อ...คุณศรัณภัทรหมายถึงใครหรือคะ"
"ผมไม่แน่ใจ ผมจำชื่อเธอไม่ได้" ศรัณภัทรพูดพลางนึกไปด้วยว่าผู้หญิงหน้าสวยคนนั้นชื่ออะไร เขาจำได้ว่าเธอโดดเด่นและตอบคำถามได้ดี เขาคิดว่าเธอน่าจะเข้าเกณฑ์ แต่เธอกลับไม่ติดหนึ่งในห้าของผู้ผ่านเข้าเกณฑ์เลย
"พิชญ์ชาพร" คีรินภัทรพูดขึ้นเสียงเรียบ
"ใช่ๆ เธอชื่อพิชญ์ชาพร" ศรัณภัทรหันไปพยักหน้ากับพี่ชาย ก่อนจะหันกลับมาถามหัวหน้าฝ่ายบุคคลอีกครั้ง "เธอไม่ผ่านเกณฑ์เหรอครับ ถึงช่วงแรกๆ จะหลุดไปนิด แต่ผมจำได้ว่าเมื่อวานเธอตอบคำถามได้ดี
ดูมีทักษะในการเอาตัวรอดดีนะ"
"เอ่อ...จริงๆ เธอก็ผ่านเกณฑ์ของเรานะคะ แต่ว่า..."
ทั้งคีรินภัทร ศรัณภัทร และประวิตร ต่างมองไปที่หัวหน้าฝ่ายบุคคลเป็นตาเดียว เพื่อรอคำตอบว่ามีเหตุผลอะไร ถึงทำให้คนที่ผ่านเข้าเกณฑ์ แต่กลับไม่มีชื่อติดหนึ่งในห้า
"แต่ว่าอะไรครับ" คีรินภัทรถามขึ้น หัวหน้าฝ่ายบุคคลไม่ได้ตอบอะไร แต่ดึงเอกสารหนึ่งใบออกมาจากแฟ้มตรงหน้า พร้อมกับเปิดแอปพลิเคชั่นสีฟ้าในแท็บเล็ต แล้วพิมพ์บางอย่างลงไปในช่องค้นห้า ก่อนจะส่งแท็บเล็ตให้ผู้บริหารหนุ่มทั้งสองดู พร้อมอธิบายไปด้วย
"นี่คือเฟชบุ๊กส่วนตัวของคุณพิชญ์ชาพรค่ะ ซึ่งดูจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของคุณพิชญ์ชาพรแล้ว ทางฝ่ายจึงลงความเห็นว่าเธอไม่เหมาะกับการทำงานเป็นเลขาฯ ค่ะ"
ผู้บริหารหนุ่มทั้งสองเลื่อนดูหน้าไทม์ไลน์เฟชบุ๊กส่วนตัวของหญิงสาวที่เปิดสาธารณะเอาไว้ เพื่อดูพฤติกรรการใช้ชีวิตประจำวันของเธอว่าไม่เหมาะยังไง ก่อนที่คีรินภัทรจะค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง
"ไม่เหมาะยังไงครับ" ศรัณภัทรถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่เลื่อนดูเยอะพอสมควรแล้ว ซึ่งก็เป็นคำถามที่คีรินภัทรเองก็สงสัยเหมือนกัน เธอแค่เป็นคนชอบเที่ยว แล้วไม่เหมาะกับงานยังไง
"จากที่เห็นในเฟชบุ๊กส่วนตัว ทำให้เราเห็นว่าคุณพิชญ์ชาพรค่อนข้างที่จะเป็นคนติดเที่ยวกลางคืน ทางเราจึงเกรงว่าอาจจะกระทบกับงานในภายหลังค่ะ"
คำตอบของหัวหน้าฝ่ายบุคคลยิ่งทำให้ผู้บริหารหนุ่มทั้งสองขมวดคิ้วเข้าหากันมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนหนึ่งก็เห็นด้วยที่ว่าอาจจะมีปัญหาภายหลัง แต่อีกส่วนก็ลังเลและคิดเปรียบเทียบกับตัวเอง พวกเขาก็เที่ยวกลางคืนเหมือนกัน แต่ก็มีความรับผิดชอบต่องานที่มี แล้วผู้หญิงคนนี้จะไม่มีความรับผิดชอบบ้างหรือ
"อยากได้คนนี้เหรอ เรนหรือรันล่ะที่อยากได้" ประวิตรถามเมื่อเห็นลูกชายทั้งสองเงียบไป
"ผมคิดว่าเธอน่าสนใจดีครับพ่อ แต่ก็ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น เดี๋ยวผมเลือกห้าคนที่ผ่านเกณฑ์ก็ได้ครับ" ศรัณภัทรตอบอย่างง่ายๆ พร้อมชูเอกสารในมือให้ผู้เป็นพ่อดู ถึงพิชญ์ชาพรจะน่าสนใจ แต่เขายังไงก็ได้ อีกอย่างหนึ่งในห้าคนนี้ ก็มีคนที่เขาเล็งๆ ไว้แล้วเหมือนกัน
"แล้วเรนล่ะ คิดว่าไง" ประวิตรหันมาถามลูกชายคนโตบ้าง
"ผมก็คิดว่าเธอน่าสนใจดีครับ" ชายหนุ่มตอบบิดาเสียงเรียบ พลางจ้องรูปโพรไฟล์เฟชบุ๊กของหญิงสาวที่ยังเปิดค้างเอาไว้ เขานิ่งคิดไปสักพัก ก่อนจะพูดออกมา "ผมว่าถ้าติดแค่เรื่องเที่ยวก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้งครับ…"
"กรี๊ดดดดดด!"
"อะไร! กรี๊ดอะไรอีชะนี! ควายที่บ้านออกลูกหรือไง"
คณาธิปรีบดีดตัวลุกขึ้นมาจากเตียงนอนทันทีด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดของพิชญ์ชาพร พร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่ดีดตัวลุกขึ้นมาพร้อมกัน ทุกคนต่างมองไปที่เจ้าของเสียงกรี๊ดด้วยความงุนงง สมองยังประมวลผลได้ไม่ดีเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความมึนเมาที่ยังคั่งค้างจากการดื่มอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา
"เออ มีอะไรวะ กรี๊ดอะไรของมึงอีพิชญ์" คมสันที่นั่งอยู่ข้างๆ คณาธิปถามขึ้น พร้อมกับปรือตามองตัวต้นเหตุที่นั่งหัวฟูจ้องสมาร์ตโฟนในมือ
"มึง…" พิชญ์ชาพรอ่านทวนข้อความในสมาร์ตโฟนอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเพื่อนทั้งสาม อาการมึนเมากับอาการง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเธอลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วเห็นอีเมล์ที่แจ้งเตือนขึ้นมาในเวลาแปดโมงเช้า
"อะไร มีอะไร พูดมาสักที กูจะนอน" มนัสพูดขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดนิดๆ เมาก็เมา อีกอย่างพวกเขาพึ่งได้นอนตอนหกโมงเช้า
แล้วยังมาโดนยายชะนีส่งเสียงปลุกตั้งแต่แปดโมง เสียเวลานอนกะเทยมาก!
"เร็วๆ อีพิชญ์ ถ้ามึงไม่พูด พวกกูจะแดกหัวมึงแล้วนะ" คณาธิป
เร่ง เมื่อเห็นว่าพิชญ์ชาพรไม่ยอมพูดอะไรสักที เอาแต่จ้องสมาร์ตโฟนอยู่นั่นแหละ
"พวกมึง คือกู..." พิชญ์ชาพรดีใจจนไม่รู้จะบอกเพื่อนยังไงดี
แต่ถ้าไม่รีบบอก เธอได้โดนกะเทยทั้งสามกินหัวจริงๆ แน่ เธอจึงรีบตั้งสติแล้วรีบบอกไปในที่สุด "กูจะบอกว่า...กูได้งานแล้วค่า!"
พอพิชญ์ชาพรพูดจบเท่านั้นแหละ ชายหนุ่มทั้งสามคนก็ส่งสายตาอาฆาตไปให้หญิงสาวทันที ที่กล้ารบกวนเวลานอนอันแสนมีค่าของกะเทย ก่อนจะพร้อมใจกันประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกันอย่างพร้อมเพียง
"อีพิชญ์!!!"