บทที่ 2 ลูก
ดลวัฒน์ต้องขยับตัวตื่นเพราะเสียงของนาฬิกาปลุก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งนวดขมับสองสามครั้ง เพราะอาการแฮงก์ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกปวดศีรษะแถมยังอ่อนเพลีย เมื่อเหลือบมองไปยังนาฬิกาแขวนก็พบว่าเป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว
วันนี้เป็นอีกวันที่เขาได้หยุด หลังจากทำงานแบบแทบไม่ได้พักมาหลายวันติด ตามการจัดตารางงานของย่าผู้ประเสริฐของเขา แต่ก็เพราะมีเคสผ่าตัดแบบเร่งด่วนเข้ามาด้วย จึงทำให้งานของเขาล้นมือ
ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียง ทว่าเดินไปเพียงสองสามก้าวก็เผลอเหยียบอะไรบางอย่างเข้า ก่อนจะพบว่าเป็นกางเกงที่เขาสวมเมื่อวาน แสดงว่าเมื่อคืนนี้เขามีเซ็กซ์กับภรรยาตีทะเบียน มิน่าถึงได้รู้สึกเมื่อยขนาดนี้
เขาก้มไปเก็บกางเกงแล้วโยนเข้าตะกร้าที่อยู่มุมของห้อง ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำได้ประมาณยี่สิบนาที แล้วออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ใช้เวลายืนจัดแต่งทรงผมอยู่หน้ากระจกเล็กน้อยก็ลงมายังชั้นล่างของบ้าน เห็นสิรินดากำลังยกจานอาหารเช้ามาเต็มสองมือ จึงยื่นมือไปช่วยรับจานไข่กระทะมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปหยิบเหยือกน้ำส้มจากตู้เย็นออกมา เพราะรู้ว่าหญิงสาวจะต้องดื่มมันแทบทุกเช้า
“เมือคืนพี่ป้องกันหรือเปล่า” ดลวัฒน์เอ่ยถามก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับหญิงสาว
“ป้องกันค่ะ”
“อืม” ชายหนุ่มขานรับสั้นๆ แต่น้ำเสียงนั้นดูโล่งใจ ทำเอาคนตอบหน้าจืดเจือน ทั้งที่ในตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมหมดแล้ว เขามีอายุเกือบจะสามสิบสาม ส่วนเธอยี่สิบเก้า ไม่มีปัญหาเรื่องฐานะและเวลา
สิรินดาพร้อมยิ่งกว่าพร้อมที่จะมีลูก การมีครอบครัวที่สมบูรณ์คือเป้าหมายหนึ่งในชีวิตของเธอ แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดอย่างนั้น เหตุผลก็คือ...เขายังไม่เคยเปิดใจให้กัน
หญิงสาวเหลือบตามองคนฝั่งตรงข้ามแล้วตัดสินใจพูดออกมา
“เรื่องลูก ที่จริงเรา...”
“อย่าคิดไร้สาระ พี่เคยบอกเธอแล้วว่าพี่ยังไม่อยากเป็นพ่อตอนนี้” ดลวัฒน์ปรามเสียงกระด้างอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะวางช้อนลงแล้วขยับลุกขึ้น
สิรินดารีบคว้ามือร้อนไว้ “ทานข้าวต่อเถอะค่ะ ไจ๋จะไม่พูดถึงมันอีก” ถ้ามันทำให้เขาไม่สบายใจเธอก็จะไม่พูดเรื่องนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะกัน แค่เขาต้องมาแต่งงานกับเธอก็คงลำบากใจมากแล้ว ที่สำคัญลูกจะรู้สึกอย่างไรถ้าต้องเกิดมาจากความไม่เต็มใจของผู้เป็นพ่อ
“พี่กินไม่ลงแล้ว” ดลวัฒน์ไม่คิดอ่อนลง จบประโยคก็เดินไปคว้ากุญแจรถสปอร์ตของตน โดยไม่สนใจเลยว่าอาหารจานนั้นคนทำใส่ใจแค่ไหน ไม่กี่นาทีรถคันหรูก็เคลื่อนตัวออกจากบ้าน
หญิงสาวได้แต่มองตามไปพร้อมกับความปวดหนึบหนับที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจ
“เป็นอะไรไปไจ๋ เราเห็นไจ๋นั่งเขี่ยข้าวเกือบจะสิบนาทีแล้ว” กีรติร้องถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าแววตาเป็นห่วง เธอสังเกตเห็นสีหน้าจืดเจือนตั้งแต่สิรินดามาถึงแล้ว วันนี้เพื่อนสนิทอาสามาช่วยงานเธอที่ร้านคาเฟแมวแห่งนี้ ด้วยเพราะขาดพนักงานกะทันหัน
“เรื่องคุณดลหรือไจ๋” กีรติเดา เพราะชีวิตคู่ของสิรินดานั้นไม่เคยมีความหวานเหมือนกับคู่อื่นๆ มีแต่ความขมเสียมากกว่า
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะกี๋”
“ไจ๋ เราห่วงไจ๋นะ” กีรติรู้ว่าเพื่อนไม่อยากเอาเรื่องทุกข์ใจมารบกวน ที่ผ่านมาเธอถึงมักจะเป็นฝ่ายซักไซ้เสียมากกว่า ก่อนจะถามต่อ
“เรื่องลูกอีกหรือเปล่า” สิรินดาอยากมีลูกมาตลอด เธอเป็นคนรักเด็กมาก เวลาเจอลูกเพื่อนทีไรก็มักจะขออุ้มขอช่วยเลี้ยงเสมอ จึงกลายเป็นที่รักของเด็กๆ เมื่อใดที่เห็นสิรินดาก็จะพากันกรูเข้ามาหา
คนมีเรื่องในใจเงียบไปอยู่หลายนาที กว่าดวงหน้านวลจะพยักเบาๆ และตอบกลับไป
“พี่ดลบอกยังไม่พร้อม”
“สามปีแล้วนะไจ๋”
“...”
กีรติเอื้อมมือไปจับมือของสิรินดา “ไจ๋ กี๋ขอถามตรงๆ นะ เคยคิดจะเอ่อ…”
“คิดจะขอหย่าน่ะเหรอ”
กีรติพยักหน้ารับ “ถ้าไจ๋ลองเปิดใจให้คนอื่น ไจ๋อาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้นะ” ไม่ใช่ว่าเธออยากจะยุยงให้เกิดการเลิกรากัน แต่มันเป็นเพราะเธออยากเห็นเพื่อนมีความสุข
สิรินดาพยักหน้า เคยสิ เธอคิดมาตลอด แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคิด
หญิงสาวรักตัวเองไม่แพ้กัน เพียงแต่ว่าเธอแบกความหวังของใครคนหนึ่งเอาไว้ด้วย
“แต่เรายังอยากพยายาม ถ้าเราพยายามกว่านี้ มันอาจจะดีขึ้น”
“งั้นไจ๋จะทำยังไง หรือว่า…จะแอบปล่อยให้ท้องไปเลย” แม้จะดูไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไร แต่กีรติเชื่อว่าเพื่อนของเธอจะสามารถเป็นแม่ที่ดีได้อย่างแน่นอน ติดที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้เต็มใจเสียขนาดนั้น
คิดแล้วกีรติก็หนักใจแทนเพื่อน ก่อนจะเม้มปากยามนึกถึงบางเรื่องที่เล็ดลอดผ่านหูมา แล้วแอบลอบมองหน้าเพื่อนพลางคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ว่าควรบอกเรื่องนี้ให้แก่สิรินดารู้หรือไม่
เพราะเรื่องนั้นเกี่ยวกับดลวัฒน์เต็มๆ และมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีสักเท่าไร
แต่สุดท้ายเจ้าของร้านคาเฟแมวก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ เพราะเกรงว่าจะยิ่งทำให้หัวใจของสิรินดาย่ำแย่ไปกันใหญ่
“ไม่ว่าไจ๋จะเลือกทางไหน กี๋ก็อยู่ข้างไจ๋นะ”
“ขอบคุณนะกี๋” สิรินดายิ้ม รู้ว่าเพื่อนคนนี้มีความหวังดีให้แก่กันเสมอ