“วันนี้มึงไม่มีเวรไม่ใช่หรอ แล้วมาทำไมวะ” เขาจำได้ว่ามันได้หยุดสองวัน แต่ไหงเข้ามานอนเที่ห้องพักแพทย์แบบนี้ ทำไมมันไม่นอนที่บ้าน สบายกว่ากันเป็นไหนๆ
เป็นเขาล่ะก็จะนอนอยู่บ้านให้หนำใจ นอนแบบข้ามวันไปเลย ที่เขารู้ว่าเพื่อนเสด็จมาโรงพยาบาลก็เพราะรถสปอร์ตของมันที่จอดไว้เด่นกว่าใคร
“ทำไมไม่อยู่บ้านกับน้องไจ๋ไหม นานๆ จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน”
“ถ้าบ้าน มันน่าอยู่ กูจะมาหรอ”
“พูดอะไร ก็ระวังลุงติเขามาได้ยินบ้าง”
“แล้วชีวิตกูต้องมีแต่น้องพวกมึงหรอ กูก็มีสังคม”
“มีสังคมอะมีได้ แต่ก็ต้องมีเมียด้วยปะ เมื่อวานมึงก็ทิ้งน้องมา”
“แล้วไง กูก็ควรหาความสุขให้ตัวเองบ้างปะ
“มึงพูดเหมือน การที่อยู่กับน้อง ชีวิตมึงไม่มีความสุขเลย”
“แล้วมึงเห็นกูมีไหม ความสุขอะ” จะสุขได้ไง...ถ้าในชีวิตคู่...มันมีคำว่าหักหลังมารวมอยู่ด้วย
“ดลกูถามจริงนะ ที่มึงเป็นแบบนี้ เพราะมึงยังรอ..แฟนเก่ามึงหรือเปล่า” พาริยะหยุดพูดไปเพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินแล้วก็เอาไปลือกันแบบผิดๆ สุดท้ายมันก็อาจจะกระเด็นไปเข้าหูของสุนิติหรือสิรินดาและคงทำให้หญิงสาวคิดมากน่าดู แค่ทุกวันนี้ต้องมารับมือกับความประสาทแดกของเพื่อนตัวดี เขาว่าสิรินดาก็คงจะเหนื่อยมากแล้ว
“แล้วถ้ากูรอ มันผิดตรงไหน” พร้อมกับที่ดลวัฒน์ขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง น้ำเสียงที่ถามก็ดูเข้มขึ้นและพบความจริงจังหนึ่งในแววตา
“ถามมาได้ มันผิดตรงที่มึงกับเป็นสามีน้องไจ๋ไง กูขออย่าให้กูต้องเห็นเพื่อนตัวเองตกลงไปในกระทะทองแดง”
พาริยะว่าแรง ก็เพราะอยากเตือนสติ
ส่วนดลวัฒน์ก็หน้งบึงตึงแบบโครตจะหงุดหงิด เขามาที่นี่เพราะอยากพัก ไม่ใช่เพราะอยากมาฟังใครบ่นอะไร ก่อนตัดสินใจทำบางสิ่ง
“มึงจะไปไหนดล เรายังคุยกับไม่จบ” ก็เพราะเห็นเพื่อนตัวดีลุกพรึ่บแล้วก็กำลังเดินหนีกัน
ส่วนดลวัฒน์ไม่ได้ตอบคำถาม เอาแต่เดินหนีไป พาริยะก็ได้แต่มองตามอย่างหนักใจ และหวังเป็ทนที่สุดว่าเพื่อนนั้นจะยังพอมีสติไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรม
บทที่ 3 สิ่งที่มองข้าม
“ปลายสัปดาห์นี้ พี่ต้องไปต่างจังหวัด” ดลวัฒน์เอ่ยบอกแก่ภรรยาสาวหลังเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วสะบัดผมที่เปียกชื้นแรงๆ สองสามที ก่อนโยนผ้าขนหนูผืนเล็กที่ใช้แล้วลงไปในตะกร้า ในแต่ละวันเขาต้องเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโรคทำให้เคร่งครัดเรื่องการสระผมเป็นพิเศษ “พี่มีประชุมวิชาการ แล้วก็พวกไอ้ไตรนัดเจอพี่ในงานเลี้ยงรุ่นต่อ” ชายหนุ่มว่าต่อไม่ได้สนใจว่าคนรับสารนั้นจะมีอากัปกิริยาใด เพราะเขาต้องการแค่บอกกล่าวเท่านั้น ไม่ได้ขอความคิดเห็น
“วันไหนหรือคะ” สิรินดาเอ่ยถาม
“ศุกร์เสาร์อาทิตย์” ชายหนุ่มตอบพร้อมเดินมุ่งไปที่เตียงนอน เพราะอยากหัวถึงหมอนจะแย่อยู่แล้ว วันนี้เขาเหนื่อยเหมือนร่างจะพัง
สิรินดาเงียบไป ไม่ได้มีคำขานรับใดๆ ทำให้คนที่หยิบแว่นสายตาจากข้างเตียงมาเช็ดทำความสะอาดรู้สึกแปลกใจ หลังเห็นสายตาของสิรินดาจับจ้องปฏิทินที่โต๊ะข้างเตียง
“ทำไม สามวันนั้นมันวันอะไร” ชายหนุ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
หญิงสาวเงยหน้ามาสบตากัน ก่อนรู้สึกหน่วงไปทั้งหัวใจ นัยน์ตาที่เคยเปล่งประกายสดใสพลันหม่นแสงลง เพราะเห็นชัดว่า...คนเป็นสามีนั้นไม่ล่วงรู้ถึงความสำคัญของมัน
ทว่าเพียงครู่เดียวดวงหน้านวลก็ส่ายไปมาพร้อมกับแย้มยิ้ม “เปล่าหรอกค่ะ พี่ดลไปสามวันนะคะ เดี๋ยวไจ๋จัดกระเป๋าให้” พูดจบสิรินดาก็หมุนตัวไปที่ตู้เสื้อผ้าดิไซน์ทันสมัย
“เธอแน่ใจนะ?” ดลวัฒน์เลิกคิ้ว
“ค่ะ” หญิงสาวขานรับ พร้อมบอกตัวเองให้คิดบวกเข้าไว้ เขาเป็นหมอ มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ขนาดวันเกิดตัวเองบางปียังหลงลืม นับประสาอะไรกับวันเกิดของเธอ
ใช่แล้ว ในสามวันนั้น มีวันหนึ่งที่เป็นวันเกิดของเธอ
สิรินดาสลัดความคิดที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นออกจากสมอง แล้วเริ่มจัดเตรียมสัมภาระให้
เมื่อถึงวันที่ดลวัฒน์ต้องเดินทางไปประชุมวิชาการ ชายหนุ่มก็เลือกจะขับรถไปด้วยตนเองตั้งแต่เช้าตรู่
สิรินดาเองก็ตื่นมาเช็กข้าวของดูความเรียบร้อยให้ ก่อนจะเข้าไปสวมกอดสามี
“อย่าทำตัวเป็นเด็ก พี่ไปไม่กี่วัน แล้วเธอก็รู้นี่ว่าพี่ไม่ชอบ” หมอหนุ่มดันร่างของภรรยาออก ก่อนตีหน้าดุใส่ อยู่กันมาสามปี สิรินดาไม่รู้เลยหรือว่าเขาไม่ชอบให้มาสกินชิปนอกบ้าน
“ขับรถดีๆ นะคะ”
“อืม” ดลวัฒน์ตอบสั้นๆ แล้วเดินไปขึ้นรถ ก่อนจะขับออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาร่ำลาให้สิรินดาชื่นใจบ้าง ทว่าก็คงไม่แปลกอะไร เพราะเธอไม่เคยได้ยินคำเหล่านี้จากปากของเขาเลยสักครั้ง
วันเวลาล่วงเลยไป จากวันศุกร์เข้าสู่เช้าวันเสาร์ สิรินดาตื่นมาเตรียมกับข้าวเพื่อใส่บาตรตั้งแต่เช้าตรู่ พร้อมด้วยช่อดอกกล้วยไม้ รอจนถึงประมาณหกโมงครึ่งพระสองรูปก็มาถึงหน้าบ้าน หญิงสาวนิมนต์ท่านก่อนจะนำของที่จัดเตรียมไว้ใส่บาตร ก่อนจะถอยออกมานั่งลงกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
บุคคลแรกที่เธอนึกถึงคือมารดาผู้มีบุญคุณล้นพ้น พลันบังเกิดความคิดถึงขึ้นมา ช่างน่าเศร้าที่เธอจำเรื่องราวเกี่ยวกับท่านแทบไม่ได้เลย เพราะท่านจากไปตั้งแต่เธออายุได้เพียงสองขวบ
บุคคลต่อมาที่เธออุทิศให้ก็เป็นเครือญาติ รวมถึงบิดาของสามีด้วย