“บอกไปว่าเธอก็ยังไม่พร้อมก็ได้” ถ้าไม่สกัดฝั่งตนไว้ด้วย ทั้งแม่และย่าคงจะรวมพลังกันมากดดันเขา
สิรินดาขบเม้มปากแน่น ความปลาบปลื้มก่อนหน้านี้พลันหายวับไปกับตา แถมความเศร้าก็วิ่งพล่านเข้ามาแทนที่ ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่เต้นไวห่อเหี่ยวลงราวกับลูกโป่งอัดแก๊สที่หดลีบ
“เธอเข้าใจความหมายใช่ไหม” ดลวัฒน์กดดันให้ตอบ ทั้งที่ก็เห็นแล้วว่าสายตาของคนตรงข้ามกันเป็นอย่างไร แต่การจะเป็นพ่อแม่คนได้มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย และตอนนี้เขาก็ยังไม่พร้อม
สิรินดาจะตอบอะไรได้ นอกจากคำตอบที่สามีอยากได้ยิน
“ค่ะ”
เช้าวันถัดมา รถมินิคูเปอร์ของสิรินดาก็เคลื่อนตัวออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดสมุทรสงครามที่ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง พร้อมด้วยน้ำส้ม ขนม และของบำรุงอีกมากมายเพื่อนำไปฝากจารวี แม่สามี ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณสองปีแล้ว ส่วนบ้านที่กรุงเทพฯ ในตอนนี้มีเพียงธิตาเท่านั้นที่อาศัยอยู่
“อยู่กับเจ้าดล...เหนื่อยมากใช่ไหม นับวันหนูถึงผอมลงแบบนี้” หลังจากรับไหว้ลูกสะใภ้ จารวีก็สำรวจร่างกายของหญิงสาวที่นับวันมีแต่จะผอมลง
“ไจ๋กินเท่าไรก็ไม่อ้วนเองค่ะ” สิรินดาส่ายหน้าช้าๆ เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แม้ว่ามันจะมีส่วนจริงอยู่มาก บางครั้งความเครียดก็เล่นงานเธอจนทำให้เป็นโรคกระเพาะ
จารวียังคงกังวลใจ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าชีวิตแต่งงานของคู่นี้เป็นอย่างไร อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่มีส่วนทำให้ลูกสะใภ้ต้องมีชีวิตแบบนี้ แม้ว่าสิรินดาตัดสินใจแต่งงานเองก็ตาม
“วันนี้แม่สั่งให้แม่บ้านทำอาหารไว้ให้แล้ว ของโปรดเราด้วย” จารวีว่า
“ขอบคุณนะคะ”
“แม่สิต้องขอบคุณที่ยังทนกับลูกชายแม่มาได้ถึงขนาดนี้”
สิรินดายิ้มๆ
“กับเจ้าดล ไม่ต้องไปเอามาใส่ใจมากนะ ดูแลตัวเองบ้าง” หญิงสูงวัยแนะนำ บางครั้งความรักก็ทำให้คนเสียสละมากเกินไปจนทำร้ายตนเอง ที่ผ่านมาสิรินดาเป็นผู้ยอมอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนลูกชายหัวดื้อของเธอนั้นกลับไม่เห็นค่าสิ่งที่ได้มา
“วันนี้เจ้าดลให้มาบ่ายเบี่ยงเรื่องมีลูกอีกแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวไม่ได้คิดจะโกหก เพราะจารวีย่อมรู้ดีอยู่แล้ว จึงพยักหน้ารับ
“ทำตามที่คุณย่าบอกไหมลูก” จารวีเอ่ยถามพร้อมจูงมือบางมานั่งที่เก้าอี้หินอ่อนหน้าบ้าน ตรงนี้อากาศค่อนข้างดี มีลมพัดผ่านให้สบายตัว
“ไจ๋ว่า...มันคงแย่กว่าเดิม” สิรินดารู้ว่าทั้งธิตาและจารวีเอ็นดูเธอมาก จึงอยากทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ในแบบที่เธอคาดหวังมาตลอด แต่สิ่งที่ธิตาแนะนำคงไม่ใช่ทางออกที่ดี และมิพ้นจะมีปัญหากันใหญ่โต
ท่านแนะนำให้เธอปล่อยท้อง
จารวีบีบมือของลูกสะใภ้เบาๆ “แต่เราก็เห็นแล้วว่าตาดลหัวแข็งแค่ไหน”
ผู้เป็นย่าของสามีเสนอให้เธอหยุดฉีดยาคุมกำเนิด ซึ่งเธอต้องฉีดเป็นประจำทุกๆ สามเดือน แต่ก็มีบางรอบที่ผู้เป็นสามีจะคุมด้วยการใส่ถุงยาง แน่นอนว่าผู้คุมบังเ**ยนของโรงพยาบาลอย่างท่านสามารถทำให้ดลวัฒน์ไม่รู้เรื่องนี้ได้ ด้วยมองว่าการมีลูกจะทำให้ครอบครัวมีความสุขขึ้น เป็นดั่งโซ่ทองคล้องใจทั้งสองไว้
“ไจ๋ขอโทษนะคะ แต่ไจ๋ไม่อยากหักหลังพี่ดลอีกแล้วค่ะ” ครั้งเดียวมันก็เกินพอแล้ว เมื่อจารวีได้ยินเช่นนั้นและเห็นลูกสะใภ้ยืนยันชัดเจน ท่านก็พยักหน้าและยอมรับโดยไม่ได้ดื้อดึงต่อ เพราะที่จริงแล้วมันก็ไม่ถูกไม่ควรที่เธอจะยื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายในชีวิตคู่ของคนทั้งสองคน
ค่ำคืนนี้ดลวัฒน์ถูกเชิญมาร่วมงานฉลองมงคลสมรสของนายแพทย์รุ่นน้องที่ทำงานในแผนกเดียวกัน ชายหนุ่มอยู่ในชุดสูทสีเบจตามธีมที่เจ้าของงานระบุมา หลังจากไปร่วมแสดงความยินดีแล้วก็มานั่งที่โต๊ะเดียวกับเพื่อนสนิทของตน
“ทำไมไม่พาน้องไจ๋มาด้วยวะ ออกงานทั้งที” พาริยะถาม นานๆ เขาจะเห็นมันโผล่หัวมาร่วมงานสักที ปกติดลวัฒน์ไม่ออกงานสักเท่าไร เพราะตอนเด็กๆ ถูกพาออกเสมอจนรู้สึกเอียน เป็นธรรมดาของหลานชายที่ถูกวางตัวให้สืบทอดธุรกิจต่อไป
“ไจ๋ไปหาแม่กู”
“อ้อ ลูกสะใภ้ที่ดี”
ดลวัฒน์ไม่ตอบ แม้เข้าใจว่าเพื่อนพูดเพราะอะไร มันคงอยากจะเสียดสีเขา
“มึงรู้ยัง ไอ้เสี่ยกำลังลงมากรุงเทพฯ” พาริยะเปลี่ยนเรื่อง เขาเพิ่งได้รับข้อความจากไตรฉัตรเมื่อประมาณยี่สิบนาทีก่อนนี้เอง
“ทำไม” หัวคิ้วของดลวัฒน์ยกขึ้น “ถามได้ ทะเลาะกับเมียน่ะสิ เลยหนีออกจากบ้านตามเคย” เพื่อนในกลุ่มต่างรู้ดีว่าเวลามีปัญหาครอบครัวทีไร ไตรฉัตรจะปรึกษาปัญหาในกรุ๊ปแชต แม้กระทั่งตีสามตีสี่ก็ยังส่งมา ไม่เคยคิดเกรงใจ หากไม่อ่านก็จะโทร.มาหาทันที
คนฟังส่ายหน้าเอือมระอา ไม่รู้ว่าภรรยาของไตรฉัตรทนนิสัยขี้งอนเหมือนเด็กนี้ได้อย่างไร
“ย่ามึง” พาริยะว่าและพยักพเยิดไปทางที่ธิตายืนอยู่ หญิงสูงวัยกำลังยืนสนทนากับหุ้นส่วนของโรงพยาบาลที่มีรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ต้องไปยืนตรงนั้นก็พอจะรู้ว่าคงไม่พ้นคุยเรื่องธุรกิจ
“ดูท่าเขามองหามึงอยู่นะ”