“มากับพี่ดิษเหรอไจ๋” กีรติร้องถามเพราะจำรถของนายแพทย์หนุ่มได้ เขาใช้รถคันนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว รถที่สาวหลายๆ คนอยากจะขึ้น
ย้อนกลับไปตอนนั้น ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ไม่มีใครฮอตไปกว่าสองพี่น้องคู่นี้ คนหนึ่งดูนิ่งๆ สไตล์ฮอตเนิร์ด ขณะที่อีกคนออกแนวแบดๆ
สิรินดาพยักหน้าเป็นคำตอบ
ส่วนเจ้าของร้านคาเฟแมวยังไม่เลิกตั้งคำถาม หลังเห็นกล่องของขวัญในมือเพื่อนสนิท “เขาให้ของขวัญไจ๋อีกแล้วเหรอ”
สิรินดาครางรับก่อนจะวางข้าวของลงแล้วย่อตัวไปอุ้มเจ้าแมวส้มขี้อ้อนขึ้นมากกกอด เจ้าส้มตัวนี้มักจะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้มาเที่ยว รวมถึงเธอด้วย
“ดูท่าเขาจะยังลืมไจ๋ไม่ได้นะ”
สิรินดาสบตากับกีรติแล้วเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง
“ถ้าน้องชายเขารักไจ๋แบบนี้ก็ดีสิ” กีรติอดเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะใครๆ รอบตัวต่างก็รู้ว่าดิษฐากรแอบชอบสิรินดามานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยมัธยม มีแต่คนอิจฉาตาร้อน ทว่าคนที่เพื่อนของเธอชอบกลับเป็น...
ลมหายใจถูกพ่นออกจากจมูกสวย ถ้าเพื่อนเธอชอบคนที่แสนดีกับตัวเอง ป่านนี้คงมีความสุขไปแล้ว ไม่ต้องมานั่งเศร้าสร้อยเหงาหงอยแบบนี้
แต่จะทำอย่างไรได้ คนเรามีความคิดความชอบต่างกัน
“เอ่อ เราขอโทษนะไจ๋ เราไม่ได้ตั้งใจ” กีรติหน้าเสีย เธอหลงลืมไปเลยว่าการพูดแบบนั้นอาจจะทำร้ายจิตใจของสิรินดาได้
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไจ๋รู้ว่ามันคือความจริง” สิรินดาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้เพื่อนสนิท แม้จะมีความเจ็บปวดแทรกซึม ถึงเธอจะดูเหมือนคนไม่ฉลาดที่ไม่ยอมตัดใจเสียที แต่ก็อยู่ในโลกของความจริงเสมอ รู้ว่าใครที่ดีกับเธอมากกว่า
ทว่าใจดวงนี้...มันรักดลวัฒน์ไปแล้ว
“เสร็จสักทีนะ ไอ้พวกนั้นไปถึงร้านแล้ว” พาริยะบอกขณะรวบเอกสารสัมมนาวิชาการทั้งหมดในวันนี้ไว้ในมือ ก่อนเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายของตน แล้วพบว่าเวลามันเลตไปมากแล้ว ที่จริงงานสัมมนาควรจะจบตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็น แต่กลับลากยาวมาจนเกือบจะห้าโมงเย็น
โชคดีที่สถานที่จัดสัมมนาในครั้งนี้อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารกึ่งผับที่นัดเพื่อนเอาไว้ พวกเขาตั้งใจว่าจะซดเบียร์กันยันเช้า
“จะแยกกันไป หรือมึงจะไปกับกู”
“ไปกับมึง ขี้เกียจขับรถ” คนพูดขยับตัวลุกขึ้น
“กูจะขึ้นห้องก่อนนะ” พาริยะตั้งใจว่าจะขึ้นห้องไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดทรงผมเสียหน่อย จะได้มีสาวๆ เหลียวมองบ้าง ไม่ให้น้อยหน้าดลวัฒน์ที่แค่แต่งธรรมดาก็เอาชนะเขาขาดลอยแล้ว
“เดี๋ยวงีบรอแถวๆ นี้” ดลวัฒน์เอ่ย ก่อนจะเดินไปนั่งรอที่โซฟาบริเวณล็อบบีของโรงแรม
ครู่หนึ่งพาริยะก็กลับลงมาจากห้องพักด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวโปรด แล้วทั้งคู่ก็เดินไปยังลานจอดรถเพื่อออกเดินทางไปยังสถานที่นัดหมาย
เมื่อเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงก็พบว่าเพื่อนมากันเยอะแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองยกมือขึ้นขอโทษที่มาไม่ตรงเวลา แต่ก็ไม่มีใครขุ่นเคืองใจอะไร ต่างทักทายกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก่อนพวกเขาจะตรงไปยังโต๊ะของตนเองที่ตอนนี้มีตัวตั้งตัวตีในการจัดงานนี้นั่งไขว่ห้างคอยอยู่แล้ว เรื่องสรรหากิจกรรมต้องยกให้คนนี้ ที่รับหน้าที่ทำมาตั้งแต่มัธยม
แต่บางครั้งกิจกรรมของเพื่อนก็หลุดโลกมากไปหน่อย จนถึงขั้นถูกเชิญผู้ปกครองไปพบ
“สบายดีไหมวะไอ้เสี่ย”
“ดี” ไตรฉัตร หรือไตร เอ่ยตอบพร้อมกับยกเบียร์แก้วที่สามขึ้นมาจิบ
“รวยแล้วดิเสี่ย ได้ข่าวว่าร้านอาบอบนวดไปได้สวยเลย” พาริยะถามแล้วทิ้งก้นลงนั่งใกล้กับผู้ที่เพื่อนๆ ตั้งฉายาให้ว่าเสี่ย ด้วยความภูมิฐานของอีกฝ่ายและกิจการที่รับช่วงต่อมาจากครอบครัว
“จะยิ่งดีถ้าได้เสี่ยกระเป๋าหนักอย่างพวกมึงไปใช้บริการ” ไตรฉัตรบอก เขาพร้อมจัดเตรียมความหรรษาดีๆ ให้เพื่อน แม้ตนจะเพิ่งเข้ามาบริหารกิจการนี้เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนในช่วงที่ครอบครัวเกิดวิกฤต แต่ก็สามารถทำให้มันกลับมามีกำไรได้อย่างรวดเร็ว
“ยกเว้นมึงไอ้ดล ไม่ต้องไป” เสี่ยหนุ่มที่ตัดผมทรงดรอปคัตกล่าวต่อ พร้อมชี้มายังดลวัฒน์
“ทำไมกูถึงไปไม่ได้” ดลวัฒน์ย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ในเมื่อทุกคนไปได้ เขาก็ต้องไปได้ อีกอย่างช่วงตอนเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาก็เคยไปครั้งสองครั้งแล้ว ด้วยความอยากเปิดหูเปิดตาในโลกที่ยังไม่เคยพบเจอ
“ก็กูสงสารน้องไจ๋ ไม่อยากให้มึงทำผิด” เพื่อนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เขาไม่อยากให้สถาบันครอบครัวต้องสั่นคลอน “แล้วพวกกูก็ขี้เกียจเสียเวลาทำบุญไปให้ มึงเองก็จะได้ไม่ต้องปีนต้นงิ้ว”