อินทุ
ผมเดินทางมาถึงศาลาสวดพระอภิธรรมศพของนายเตโชที่วัดใกล้บ้านตามที่น้องไม้ได้บอกเส้นทางไว้ ระหว่างการเดินทางได้เกิดเรื่องแปลกๆขึ้นมากมายกับผมแต่สิ่งเหล่านั้นไม่ทำให้ผมรู้สึกกลัวอะไรมากเพราะผมเคยบวชเรียนที่วัดแห่งนี้มากว่า 3 พรรษาก่อนจะศึกออกไปบริหารธุรกิจที่ทางญาติผู้ใหญ่ได้มอบหมายให้ ผมเดินเข้ายังศาลาเพื่อที่จะไปไหว้ศพตามธรรมเนียม ผมจึงรู้ว่าภายในงานศพของนายเตโชดูเงียบเหงามากแทบจะไม่มีผู้คนมาร่วมงานเลยแต่ก็มีกลุ่มผู้ชายอยู่กลุ่มหนึ่งได้มาร่วมฟังการสวดพระอภิธรรมในค่ำคืนนี้ หลังจากที่ผมได้เข้าไปคุยกับเจ้าไม้ก็ได้ความว่าคนกลุ่มนั้นเป็นเพื่อนร่วมงานของนายเตโชนั่นเอง แท้ที่จริงแล้วนายเตโชยังมีญาติอยู่บ้าง พวกเขากลับไม่สนใจนายเตโชเลยตั้งแต่พ่อแม่ของเขาได้จากไป เขาจึงถูกเลี้ยงตามมีตามเกิดที่เขาจะได้รับจากญาติๆของเขาจนต้องผันชีวิตเข้ามาทำงานขายบริการทางเพศนับตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน นายเตโชได้เดินออกจากญาติมิตรทั้งหมดมาเพื่อตัดความลำบากใจทิ้งไปโดยเขามาเช่าห้องอยู่เพียงลำพังเมื่อ 3 เดือนก่อน เมื่อผมได้ฟังเรื่องราวชีวิตของนายเตโชทำให้ผมรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาบ้างแต่ความรู้สึกเดิมๆและความทรงจำที่เขากระทำในสิ่งไม่ดีต่อผมได้กลับมาให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้งในพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนไร้ยางอายที่เขาทำต่อผมในวันนั้นก่อนที่ผมจะตัดสินใจเดินเข้าไปยังบริเวณที่ไหว้ศพ ผมหยิบธูปจากมือของคนที่มาช่วยงาน ผมถือธูปพนมมือขึ้นมองไปที่รูปของเขา
"คุณเตตอนนี้คุณเสียชีวิตไปแล้วนะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามหากผมเป็นต้นเหตุทำให้คุณตาย ผมก็ขอให้คุณอโหสิกรรมและยกโทษให้ผมด้วยนะครับ และหากสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในวันนี้เป็นฝีมือของคุณ ผมก็ขอบอกคุณเลยว่าผมไม่รู้สึกกลัวหรือหวั่นเกรงอะไรเลยแม้แต่น้อย คุณจงไปสู่สุคติตามหนทางที่คุณต้องการด้วยเถิด" ผมกล่าวด้วยเสียงเบาในลำคอต่อหน้ารูปนายเตโชที่ถูกตั้งไว้ด้านข้างโลงศพสีขาวของเขา ทันทีที่ผมปั้กธูปลงกระถางธูปด้านหน้าโลงศพ หลอดไฟนีออนทั้งศาลาอยู่ๆก็ดับวูบลงทั้งหมดในขณะที่ศาลาอื่นยังคงมีไฟส่องสว่างตามปกติ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกคนที่อยู่ในศาลารวมถึงพระสงฆ์จำนวนหลายรูปก็รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่นั่นไม่ทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นอะไรเลยเพราะผมรู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับผมมาแล้ว จากนั้นอีก 1 นาทีต่อมาเสียงโหยหวนของหมาวัดจำนวนหลายสิบตัวได้ส่งเสียงเห่าหอนอยู่รอบๆศาลาท่ามกลางเสียงสวดพระอภิธรรมจากพระสงฆ์ที่กำลังทำพิธีอยู่ในขณะนั้นยิ่งสร้างความหวาดกลัวและตกใจให้แก่ผู้คนที่มาร่วมงานเพียงไม่กี่คนนั้นเป็นอย่างมาก ผมได้ยินเสียงของเจ้าไม้พูดอะไรบางอย่างต่อหน้าโลงศพของนายเตโช
"พี่เตหยุดเถอะครับ ทุกคนตั้งใจมาหาพี่นะครับอย่าทำให้พวกเขากลัวเลยครับ" หลังจากสิ้นคำพูดของน้องไม้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติอย่างอัศจรรย์ เมื่อสิ้นสุดการฟังสวดพระอภิธรรมศพในคืนแรกทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่ทันทีที่ผมกลับถึงบ้านก็ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับผมและเจ้าไม้อยู่ตลอดเวลาก็เป็นทางเจ้าไม้เองที่คอยพูดจาประนีประนอมวอนขอไม่ให้นายเตโชก่อเรื่องในบ้าน บ้านจึงกลับมาสงบอีกครั้งหลังจากที่เจ้าไม้วอนขอไป ผมและน้องชายจึงปรึกษากันในฐานะเจ้าภาพงานสวดพระอภิธรรมศพในครั้งนี้จึงตกลงกันว่าจะมีการสวดพระอภิธรรมศพของนายเตโชจำนวน 3 คืนทุกอย่างเป็นไปตามแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีในการบำเพ็ญฌาปนกิจศพโดยสมบูรณ์ ทุกๆคืนก็มักจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้นไม่ซ้ำเหตุการณ์เสมอ ได้สร้างความหวาดกลัว ความเคยชินแก่ผู้ร่วมฟังสวดพระอภิธรรมทั้งใหม่และเก่าอยู่ไม่น้อยแทบทุกคืน
จนกระทั่งเวลาการเผาศพได้มาถึงทุกอย่างเป็นไปตามประเพณีแต่สิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นอีก เมื่อศพของนายเตโชที่เปลวไฟอันร้อนแรงไม่สามารถแผดเผาผิวกายเรือนร่างของนายเตโชให้มอดไหม้ลงได้ ร่างกายของนายเตโชยังเป็นปกติเหมือนกับคนกำลังนอนหลับไปเฉยๆ แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปแล้ว 3 วัน ร่างกายของนายเตโชก็ไม่เน่าเปื่อยตามกาลเวลาที่ควรจะเป็น ร่างของเขายังคงสดไม่มีแม้ร่อยรอยความเขียวช้ำใดๆ สร้างความมหัศจรรย์และประหลาดใจต่อสายตาผู้ร่วมงานมาก กระทั่งเจ้าอาวาสวัดแห่งนั้นเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกท่านจึงเดินเข้าไปยังร่างของนายเตโชแล้วสัมผัสที่ฝ่ามือของเขาก่อนที่ท่านจะค่อยๆหลับตาลง ผ่านไปไม่นานท่านก็ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าอิ่มเอิบคล้ายกับคนที่มีความสุขราวกับว่าท่านได้ค้นพบหลักสัจธรรมของชีวิตอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นท่านจึงเดินเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่ด้านข้างน้องชายที่ยังคงมีสีหน้าแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"พ่อหนุ่มจงนำร่างของชายผู้นี้ไปเก็บไว้ที่บ้านโดยให้เขาอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งก็ได้ตามแต่พ่อหนุ่มจะปรารถนา เพราะวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ข้างกายพ่อหนุ่มตลอดเวลา ด้วยบ่วงเวร บ่วงกรรม บ่วงรักที่เขาเคยกระทำไว้กับพ่อหนุ่มเมื่อชาติปางก่อน ครั้นมาถึงชาตินี้เขาจึงต้องมารับผลกรรมเหล่านั้นจากพ่อหนุ่มต่อไปจนกว่ากรรมนั้นจะหมดลง" ทันทีที่ท่านเจ้าอาวาสกล่าวบางอย่างกับผมจบ ได้เกิดข้อสงสัยขึ้นในใจของผมจึงเอ่ยถามไปตามความรู้สึกถึงเรื่องราวที่ได้รับฟังจากท่านเจ้าอาวาส
"หลวงพ่อครับมันคือเวรกรรมอะไรหรือครับถึงทำให้ผมต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้ หลวงพ่อพอจะมีหนทางแก้ไขไหมครับ"
"เรื่องนี้มันเป็นความผูกพันระหว่างพ่อหนุ่มกับเขา หลวงพ่อพูดอะไรมากไม่ได้มันคือสิ่งที่พ่อหนุ่มทั้งสองต้องเผชิญด้วยกันเพื่อชดใช้และลบล้างผลกรรมที่เคยกระทำขึ้นต่อกันในอดีตชาติของกันและกันในภพชาตินี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพ่อหนุ่มนับจากนี้ จงใช้สติ สมาธิและปัญญาในการแก้ไขกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติตามเดิม อย่าลืมใช้หัวใจกับความรู้สึกในการรับมือด้วยล่ะ อาตมาบอกได้เพียงเท่านี้แหละนะ" จากนั้นท่านเจ้าอาวาสได้เดินกลับสู่กุฏิของท่านโดยปล่อยให้ผมและน้องชายต้องปรึกษากันถึงเรื่องการนำร่างของนายเตโชกลับไปยังบ้านตามคำบอกของท่านเจ้าอาวาสต่อไป
ช่วงเย็นของวันนั้นผมและน้องไม้รวมถึงเพื่อนร่วมงานของนายเตโชบางคนได้ช่วยกันนำร่างไร้วิญญาณของนายเตโชกลับมาที่บ้านตามคำบอกของท่านเจ้าอาวาสโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะเนื่องจากหากทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านกล่าวไว้จริงๆผมก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตของนายเตโช ผมจึงขอรับผิดชอบพร้อมยินยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านเจ้าอาวาสด้วยความเต็มใจ โดยไม่รู้เลยว่านับจากนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตผมมันคืออะไรกันแน่ ซึ่งผมตัดสินใจให้นำร่างของนายเตโชมาเก็บไว้ที่ห้องรับรองแขกซึ่งติดกับห้องนอนของผมเพื่อความสะดวกในการดูแลร่างไร้วิญญาณที่คงต้องเป็นผมคนเดียวรับหน้าที่นี้ ตามคำเรียกร้องของคนตายเพื่อให้เขาได้ใกล้ชิดกับคนที่เขารักนั่นก็คือผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ สี่คืนแรกจากการนำร่างไร้วิญญาณของนายเตโชเข้ามาอยู่ภายในบ้านของผมบรรยากาศภายในบ้านเป็นไปอย่างปกติโดยไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายหรือเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น ผมรู้สึกแปลกใจและสงสัยว่าเพราะเหตุใดถึงไม่มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นเหมือนเมื่อ 4-5 วันก่อนหรืออาจเป็นเพราะว่าเขาได้มาอยู่ใกล้กับคนที่เขารักคนที่เขาต้องการ ได้เห็นหน้าทุกวันจึงไม่เป็นเหตุให้เขาสร้างเรื่องก่อกวนอะไรผมและน้องชายอีก สิ่งที่ผมคิดไม่รู้จะเป็นจริงได้นานเพียงใดเพราะผมมีลางสังหรณ์บ้างอย่าง ว่าสักวันหนึ่งความต้องการของเขาคงจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้กับผมก็เป็นได้