"พริ้ม...เบาๆ เกรงใจรุ่นพี่"
คำเตือนของจินดาหราทำให้พิมพ์อัปสรได้สติ หุบปากแทบจะทันที ก่อนจะขยับริมฝีปากเม้มกันแน่น ชำเลืองมองสองหนุ่มด้านหน้าด้วยสายตารู้สึกผิด เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่ได้ให้ความสนใจแต่อย่างไร จึงหันกลับมาคุยกับปลายสายต่อ
“กูไม่ไป” พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวไม่ต่างจากเสียงกระซิบ
“พริ้ม พริ้มจ๋า...พิมพ์อัปสรที่รัก ช่วยสามีหน่อยนะ คนนี้สามีชอบจริงๆ น้องเขาแบบน่ารักนิสัยดีตรงสเปกอะ ถ้าพริ้มที่รักไม่ไปส่งน้องมันพรุ่งนี้น้องมันเลิกคุยกับเค้าแน่ๆ พริ้มทนได้เหรอที่จะเห็นเค้าเสียใจ พริ้มไม่สงสารเค้าเหรอ?” อ้อนกว่านี้ดารัณก็ทำมาแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ
ประเด็นคือลืมโทรไปบอกน้องมันไงว่าจะกลับบ้านต่างจังหวัด มานึกได้ก็ตอนหัวถึงหมอนกำลังจะเฝ้าพระอินทร์ ต้องดีดตัวเองขึ้นมาคว้านมือหาโทรศัพท์เพื่อโทรหาตัวช่วยแทบไม่ทัน
รู้แหละว่าต้องถูกพิมพ์อัปสรด่า แต่ทำไงได้
ก็คนมันลืม
“ทำไมกูจะทนไม่ได้?” ก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับเธอตรงไหน ดีซะอีกที่เด็กในสต็อกมันลดลง เธอจะได้ไม่ต้องปวดหัวเวลาที่ช่วยมันสัปราง
“แต่คนนี้สเปกกูที่สุดไงพริ้ม”
“ตอแหล คนก่อนก็สเปกมึง คนก่อนหน้าก็สเปกมึง กูเห็นสเปกมึงหมด” พิมพ์อัปสรเบ้ปากมองบน คงคิดว่าเสียงสองเสียงสามที่มันใช้จะทำให้เธอใจอ่อน
บอกเลยว่ายิ่งดารัณใช้ช่องเสียงที่มากกว่าปกติก็ยิ่งเป็นลวดหนามและกำแพงเหล็กให้เธอใจแข็ง ที่สำคัญ...
ฟังแล้วขนแขนสแตนอัพมาก
ไม่รู้มันทนพูดได้ไง ขนาดเธอยังทนฟังแทบไม่ได้
“พริ้มอะ”
“กูบอกว่าไม่ก็คือไม่”
“ถ้าพรุ่งนี้มึงไปรับอ้อแอไปส่งที่สนามบินกูเลี้ยงข้าวมึงทั้งอาทิตย์เลยเอ้า”
ทุ่มเทมาก แต่...
“แค่นี้ใช่มะ? กูวางนะ”
“สองอาทิตย์! กูเลี้ยงข้าวมึงสองอาทิตย์”
“มึงเอาเงินที่จะเลี้ยงข้าวกูสองอาทิตย์ไปจ้างแกร็บไปรับเด็กมึงเหอะ ถูกกว่าเลี้ยงข้าวกูอีก” คิดเฉลี่ยวันหนึ่งก็ตกอยู่ที่ 120 บาท เป็นค่าข้าว 60 ค่ากาแฟเย็น 60 รวมสองอาทิตย์ก็ 1,680 บาท จ่ายแกร็บมากสุดไม่เกิน 800 บาทประหยัดได้ตั้ง 1,000...
นี่เธอคิดแค่หนึ่งมื้อนะ ถ้าวันนั้นเธออยากเบิ้ลก็ต้องบวกเพิ่ม เสียเงินเยอะกว่าเดิมอีก
“หนึ่งเดือนเลยอะ กูเลี้ยงข้าวมึงหนึ่งเดือนเลยพริ้ม พามึงไปส่งของด้วย นี่กูทุ่มสุดตัวแล้วนะพริ้ม เห็นใจกูหน่อยเหอะ กว่ากูจะจีบน้องมันติดต้องตามรับตามส่งอยู่เป็นเดือนๆ ยังไม่ทันจะคุยมึงจะให้กูแดกแห้วแล้วเหรอวะ เนี่ยถ้ากูไม่ได้กลับบ้านกูไม่รบกวนมึงหรอก”
ไม่รบกวน?
พูดออกมาได้ แล้วหมาตัวไหนมันใช้เธอบ่อยๆ ห๊า!
โคตรไม่สำนึกบุญคุณเลย แต่เอาเถอะเห็นแก่ความทุ่มเทของมันที่ยอมเป็นเด็กส่งของให้เธอหนึ่งเดือน ก็ถือว่าช่วยเพื่อน เธอเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อนฝูง
“หนึ่งเดือนนะ เลี้ยงข้าวกับส่งของ ห้ามเบี้ยวห้ามบ่นไม่งั้นมึงตาย” พิมพ์อัปสรพูดแบบขอไปที อา...ยอมรับก็ได้ว่าข้อเสนอของมันน่าสนใจ ที่พูดดักไว้เพราะ...
มันเคยมีครั้งหนึ่งที่ดารัณขับรถพาเธอไปส่งพัสดุ ปกติเธอจะต้องหิ้วถุงแบกกล่องสองมือสองไม้หลังแทบหัก ทว่าวันนั้นเธอมีพัสดุที่จะต้องส่งแค่กล่องเดียว เป็นกล่องเล็กๆขนาดเบอร์ศูนย์แล้วกล่องเดียวที่ว่าก็ดันเป็นพัสดุที่ต้องส่งฟรี เพราะลูกค้าของเธอที่เป็นสาวน้อยวัยละอ่อนอายุสิบสี่สิบห้าขอเงินแม่มาพอดิบพอดีกับค่าแป้งตลับที่ตัวเองอยากได้ ไอ้เธอจะไม่ขายสินค้าให้ก็สงสาร กลายเป็นว่าสินค้ากล่องนั้นเธอแทบไม่ได้กำไรเลยสักบาท เพราะต้องควักค่าส่งเอง ไหนจะค่ากล่อง ค่าแอร์บับเบิ้ลกันกระแทก ค่าสติกเกอร์ร้านหน้ากล่อง พอคนขับรถพามารู้เท่านั้นแหละ บ่นเธอตั้งแต่อยู่ในร้านขนส่งเอกชนจนกระทั่งถึงคณะก็ยังไม่เลิกบ่นไม่รู้ว่าเสียดายแทนหรือถือโอกาสด่ากันแน่น
ทว่าวันนั้นมันบ่นเธอหนักมาก อีกนิดจะคิดว่ามันตั้งใจด่าเธอแล้ว
“หน้าเลือด”
“กูได้ยิน หรือจะยกเลิก?”
“อะไร? เสียงจิ้งจกปะ เมื่อกี้จิ้งจกในห้องนอนกูมันร้อง ”
พิมพ์อัปสรได้ยินเสียงจิ๊ปากมาตามสาย ซึ่งนั่นก็เกือบจะทำให้เธออารมณ์หลุดอีกรอบ ปกติก็คงด่ามันกลับไปแล้ว ทว่าตอนนี้ไม่ได้ไง ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเพราะอยู่ในรถคนอื่น
“หึ...แค่นี้นะ”
“พรุ่งนี้ 6 โมงเช้านะ ห้ามเลท ถ้าอ้อแอ้ตกเครื่องได้งอนกูหนักกว่าเดิมอีก”
“อือ”
กดวางสายแล้วก็ต้องคิดหนัก สรุปคืนนี้เธอจะได้นอนกี่ชั่วโมง? ไปรับอ้อแอที่คอนโดหกโมง เธอก็ต้องออกจากห้องตั้งแต่ตีห้าครึ่ง
ตีห้าครึ่ง!
เวรกรรม...
จะรอดมั้ยเนี่ยพิมพ์อัปสร เธอจะรอดมั้ย ไม่ใช่ขับรถไปแล้วน็อคกลางอากาศนะ
“อีเดย์?” จินดาหราถาม
“อือ โทรให้ไปรับยัยเด็กอ้อแอ้ไปส่งที่สนามบินหกโมง”
“มันคิดได้ไงโทรบอกเมียหลวงให้ไปรับเมียน้อยไปส่งสนามบิน”
พิมพ์อัปสรกลอกตามองบน
ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงจะประสมโรงไปทันทีว่า ‘ก็มันเลวไง’ ทว่าสิ่งที่เธอทำคือการเป่าพรูลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนเบนสายตาไปมองผู้มีอุปการะคุณทั้งด้วยสายตาชนิดหนึ่งที่เธอเองก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร โดยเฉพาะคนขับที่เธอทิ้งสายตาไว้ที่เขาเกือบสิบวินาทีก่อนจะดึงสายตากลับ
สิบนาทีไม่ขาดไม่เกินที่ปาลทัตพารถอาวดี้เข้ามาจอดที่หน้าคอนโดของเธอ
และก็จอดตรงจุดเดิมกับรอบที่แล้วเป๊ะ ต่างกันก็แค่คนที่เจ้าของรถมาส่งไม่ใช่สาวสวยคนเดิม
พิมพ์อัปสรหันไปช่วยประคองกาญจน์สิเนห์ลงจากรถ จับมืออีกฝ่ายให้กอดรอบเอวของจินดาหรา ก่อนจะปิดประตูรถก็ไม่ลืมที่จะพูดขอบคุณปราบปลื้มกับปาลทัตอีกครั้ง
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่มาส่ง”
“ครับ” ปราบปลื้มส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เธอและไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่ความอบอุ่นนั้นไปถึงจินดาหรากับกาญจน์สิเนห์ที่กอดประคองกันอยู่ข้างรถ
ส่วนปาลทัตทำเพียงพยักหน้า ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปของเขาให้เธอได้ยิน ช่างเป็นผู้ชายที่เก๊กหน้านิ่งและปิดปากเงียบกริบได้เสมอต้นเสมอปลายดีจริงๆ
ไม่รู้ที่ไม่พูดเพราะไม่อยากจะเสวนาปราศรัยกับพวกเธอหรือเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอหรอก
ก็แค่เมื่อยแทน
แต่จะว่าไป...ตอนที่บังเอิญเจอเขาที่หน้าคอนโด เธอก็ไม่ได้ยินเสียงของปาลทัตพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวนะ เป็นสาวสวยที่เขามาส่งที่พูดเองเออเองซะมากกว่า
ก็น่าจะเป็นคนไม่ค่อยพูดจริงๆ
พิมพ์อัปสรยักไหล่ บึนปากด้วยความเคยชิน รอจนกระทั่งรถวิ่งไปได้ประมาณสิบเมตรจึงได้หันหลังกลับไปช่วยจินดาหราประคองกาญจน์สิเนห์เข้าไปในคอนโด จุดหมายปลายทางก็คือห้องของเธอ
เมื่อเห็นสภาพคนเมาก็ได้แต่ส่ายหน้า