พิมพ์อัปสรเบ้ปาก ด่าเพื่อนด้วยสายตาเสร็จก็หันกลับไปคุยกับปราบปลื้มต่อ “ตอนนี้น่าจะโอเคขึ้นแล้วค่ะ”
"อ่อ ครับ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนเราจะอ้วกก็ให้รีบบอกพี่แล้วกันเนอะ"
ถุงก๊อบแก๊บที่อยู่ในมือจินดาหราทำให้ปราบปลื้มต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ดวงตาคมชำเลืองมองไปยังเจ้าของรถตัวจริงที่นั่งหน้านิ่งยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาคมดุของปาลทัตที่ลุกโชนทำให้ลมหายใจที่ปล่อยออกมาเริ่มติดขัด
ปราบปลื้มยิ้มเจื่อน พยายามกลืนน้ำลายลงคอเท่าที่จะกลืนได้ ถ้าปาลทัตพ่นไฟได้เขาคงเป็นคนแรกที่ถูกมันพ่นไฟใส่จนไหม้ทั้งตัว
‘ถ้ามีคนอ้วกใส่รถกูมึงต้องรับผิดชอบ’
แม้จะไม่มีใครพูดอะไร ทว่าปราบปลื้มกลับได้ยินเสียงนั้นชัดเจน
เห้อ...
เอ็นดูเขาเอ็นเราจะขาดจริงๆ ก็คราวนี้
เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กระดูกเสือกทิ่มคออีกกู
“ค่ะ...” พิมพ์อัปสรยิ้มแห้ง พยักหน้าขึ้นลงให้ปราบปลื้มมั่นใจว่าถ้ามีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เธอจะรีบบอกเขาทันที จะไม่ปล่อยให้เพื่อนคนใดของเธออาเจียนบนรถคันนี้แน่นอน หรือถ้าบอกไม่ทันเธอนี่แหละจะเป็นคนล็อกคอบีบปากบีบจมูกคนที่มันจะอ้วก ให้ขยับปากไม่ได้จนต้องกลืนอ้วกกลับเข้าไปที่เดิม
ดูสิว่ามันจะกล้าอ้วกกันไหม
"คุยกันมาตั้งนานพี่ยังไม่รู้จักชื่อพวกเราเลย?" เพราะกลัวน้องจะเครียด ก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุย
แต่ทว่าดูแล้ว...คงไม่ใช่แค่น้องมันหรอกที่เครียด คนปลอบเองก็เริ่มเครียดเหมือนกัน
แล้วไม่ใช่เครียดธรรมดาด้วยนะ บอกเลยว่าเครียดหนักมาก กลัวไอ้ปาลยกตีนขึ้นมาถีบกระเด็นออกจากรถ
บอกเลยว่าตีนมันโคตรหนัก
ที่สำคัญกูยังไม่อยากอายุสั้นตอนนี้ครับ
"ชื่อพริ้มค่ะ คนนั้นชื่อเจิน ส่วนคนที่นอนหลับชื่อกานดา"
"ฮ่าๆ หลับลึกเลยนะครับ" ปราบปลื้มเบนตามอง หัวเราะเสียงดังจนไหล่สั่นแบบไม่กั๊ก "ชื่อพี่กับเพื่อนพวกเราคงรู้แล้ว?"
"ค่ะ รุ่นพี่ปราบปลื้มกับรุ่นพี่ปาลทัต"
ประโยคนี้พิมพ์อัปสรไม่ได้พูดนะ คนพูดคือจินดาหราที่เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับการสนทนามากขึ้นหลังจากที่ถูกเธอด่าด้วยสายตา
มันกลัวเธอคิดบัญชีย้อนหลังไงก็เลยต้องแสดงตัว ทำดีชดใช้ความผิดประมาณนั้น
“แล้วอยู่ปีไหนกัน? คงไม่ใช่ปีหนึ่งใช่มะ?”
“ปีสองค่ะ พวกเราอยู่ปีสอง” พิมพ์อัปสรตอบ
"ปีสองก็ต้องรู้จักไอ้ทีเจกับของขวัญสิ?"
"รู้จักค่ะ ทีเจเป็นประธานรุ่น ส่วนของขวัญก็เป็นประชาสัมพันธ์รุ่น"
"เออใช่ พี่ลืมว่ะ สองคนนั้นเป็นรุ่นน้องในสายรหัสพี่เอง"
พิมพ์อัปสรยิ้ม ไม่ได้แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้ว เมื่อเช้าเธอก็เพิ่งกดถูกใจรูปในไอจีที่ปราบปลื้มพาน้องๆ ในสายรหัสไปกินเลี้ยงที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง กดถูกใจให้ทั้งรูปที่ปราบปลื้มโพสต์เอง และรูปที่ของขวัญโพสต์ ส่วนของทีเจเธอไม่ได้กดไลก์ให้เพราะไม่เห็นโพสต์ขึ้นมาที่หน้าฟีด
“อ่อ...ถ้าร้อนก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายคิดซะว่าพวกพี่เป็นคนขับแท็กซี่ก็ได้"
คนขับแท็กซี่?
ไม่เลย ไม่คิด แล้วก็ไม่เกร็งสักนิดเดียว...
หมายถึงนิดเดียวนะที่ไม่เกร็ง ที่เหลืออีกเก้าสิบเก้าส่วนเก้าคือเกร็งจนไม่รู้จะเกร็งยังไง เกร็งจนกล้ามเนื้อจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว คิดดูแล้วกันว่าเกร็งหนักแค่ไหน
“ตกลงไม่ร้อน?”
“ไม่ค่ะ...ไม่ร้อน” พิมพ์อัปสรส่ายหน้ารัว นอกจากจะไม่ร้อนยังคิดว่ามันออกจะหนาวไปด้วยซ้ำ
“โอเคครับ ถ้าร้อนก็บอก พี่จะได้บอกเจ้าของรถมันปรับแอร์ให้ เห็นมันหน้านิ่งไม่พูดไม่จาแบบนี้ความจริงไม่มีอะไร มันใจดี มันแค่เขินพวกเราน่ะ” พูดจบก็หันไปยักคิ้วให้คนข้างๆ ที่กำลังมองมาด้วยสายตาดุดัน
อีกนิดเดียวมันคงยกขาขึ้นมาถีบเขาลงจากรถจริงๆ
‘เขินบ้านพ่อง!’
เนี่ย...เห็นมะ ถ้าไม่สนิทกันจริง อ่านสายตากันไม่ออกนะจะบอกให้
พิมพ์อัปสรยิ้มขำ แต่เหมือนว่าเธอจะยิ้มนานไปหน่อยเลยได้มีโอกาสมองสบตาคมดุของปาลทัตผ่านทางกระจกส่องหลัง เมื่อหลบไม่ทันเลี่ยงไม่ได้ก็เลยต้องส่งยิ้มให้ ทว่ารอยยิ้มของเธอคงไม่กินใจพอจึงไม่สามารถทลายกำแพงหินเข้าไปได้ เมื่อคนรับไม่อินก็เลยต้องใช้มุขเดิม...
ทำทีเป็นยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ดูมันอยู่แบบนั้นจนแน่ใจว่าคนหน้านิ่งดึงสายตากลับไปมองถนนด้านหน้าจึงลดโทรศัพท์ลงวางไว้บนตัก เป่าพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
คนอะไรตาดุเหมือน...ที่บ้านคุณย่าเธอเลย
เหมือนว่าเธอทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาปาลทัตไปซะทุกอย่าง พยายามนึกหาสาเหตุก็นึกไม่ออก นอกจากเหตุการณ์ที่บังเอิญเจอกันหน้าคอนโด เธอกับปาลทัตก็แทบไม่เคยเจอหน้ากันตรงๆ
เดินสวนกันที่คณะก็ปกติ ต่างคนต่างเดินไม่มีใครสนใจใคร หรือบางทีเขาอาจจะจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาไม่ชอบขี้หน้าเธอ?
เห้อ...
ยิ่งคิดก็ยิ่งมึน...
นี่ถ้าดารัณอยู่พวกเธอคงไม่ลำบากลำบนแบบนี้ จะเมาเรื้อนเมาลากเมาหมดสภาพอ้วกแตกอ้วกแตนไร้ความเป็นกุลสตรีที่ไม่ค่อยมีขนาดไหน เพื่อนผู้ประเสริฐศรีเพื่อนผู้แสนดีของพวกเธอก็พากลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัยหายห่วง ไม่มีปล่อยทิ้งข้างทางแน่นอน
ครืดๆ
อา...
พูดถึงก็โทรมาทันที ตายยากตายเย็นจริงๆ โทรมาตอนตีหนึ่งก็คงเป็นห่วงแหละ คงอยากรู้ว่าพวกเธอสามคนกลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพหรือยัง...
เหอะๆ ประชดย่ะ อีหรอบนี้คงไม่พ้นมีเรื่องใช้งานเธอล่ะไม่ว่า
"มีไร?"
"อ้าวที่รักรับโทรศัพท์เขาต้องพูดสวัสดีปะ ไร้มารยาทว่ะ"
"ตกลงมีไร? ถ้าไม่มีไรจะได้วาง" ที่ถามเพราะสถานที่ไม่เอื้อให้พูด(ด่า)ต่อ พูดเบาก็กลัวเพื่อนจะไม่ได้ยินจะเพิ่มเสียงก็เกรงใจผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะชายหนุ่มเจ้าของรถที่นั่งหน้านิ่งไม่ยอมพูดยอมจากับใครตั้งแต่รับพวกเธอขึ้นรถมา
คงกลัวดอกพิกุลร่วงแหละ
"ทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้ พรุ่งนี้ที่รักว่างปะ อ้อแอจะไปเที่ยวกระบี่กับเพื่อน ที่รักไปรับน้องมันที่ห้องไปส่งดอนเมืองให้เค้าหน่อยดิ"
นั่นไง...
กูว่าแล้ว เดาข้อสอบทำไมไม่แม่นแบบนี้บ้าง
ถ้าไม่มีธุระที่ต้องใช้งานเธอไม่มีทางที่มันจะโทรมาหาเธอตอนตีหนึ่งตีสองแบบนี้ ที่บอกว่ามันเป็นเพื่อนประเสริฐศรีแสนดีที่หนึ่ง เธอขอคืน
"กี่โมง?"
"6 โมง"
"6 โมงเย็น?"
"เปล่า...6 โมงเช้า อ้อแอ้ขึ้นเครื่อง 7 โมงครึ่ง"
"6 โมงเช้า! แล้วมึงโทรมาบอกกูตอนตีหนึ่งจะตีสองเนี่ยนะ มึงบ้าปะเดย์ มึงจะให้กูลากสังขารไปรึไงหะ!" จะไม่โมโหเลยถ้าวันนี้เธอไม่ได้ออกมาดื่ม แล้วตอนนี้ก็ยังอยู่ระหว่างทาง กว่าจะกลับถึงห้องกว่าจะอาบน้ำน้ำท่าเสร็จ กว่าจะจัดของเคลียร์ออร์เดอร์ ได้นอนจริงๆก็น่าจะปาเข้าไปตีสามเกือบๆตีสี่ คิดได้ไงให้เธอไปรับตอนหกโมงเช้า
คิดว่าเธอเป็นหญิงเหล็กหรือไง?
ไอ้เพื่อนชั่ว!
"พริ้ม...เบาๆ เกรงใจรุ่นพี่"