ตอนที่ 9 ยิ่งคิดยิ่งมึน

1375 คำ
พิมพ์อัปสรเบ้ปาก ด่าเพื่อนด้วยสายตาเสร็จก็หันกลับไปคุยกับปราบปลื้มต่อ “ตอนนี้น่าจะโอเคขึ้นแล้วค่ะ” "อ่อ ครับ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนเราจะอ้วกก็ให้รีบบอกพี่แล้วกันเนอะ" ถุงก๊อบแก๊บที่อยู่ในมือจินดาหราทำให้ปราบปลื้มต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ดวงตาคมชำเลืองมองไปยังเจ้าของรถตัวจริงที่นั่งหน้านิ่งยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาคมดุของปาลทัตที่ลุกโชนทำให้ลมหายใจที่ปล่อยออกมาเริ่มติดขัด ปราบปลื้มยิ้มเจื่อน พยายามกลืนน้ำลายลงคอเท่าที่จะกลืนได้ ถ้าปาลทัตพ่นไฟได้เขาคงเป็นคนแรกที่ถูกมันพ่นไฟใส่จนไหม้ทั้งตัว ‘ถ้ามีคนอ้วกใส่รถกูมึงต้องรับผิดชอบ’ แม้จะไม่มีใครพูดอะไร ทว่าปราบปลื้มกลับได้ยินเสียงนั้นชัดเจน เห้อ... เอ็นดูเขาเอ็นเราจะขาดจริงๆ ก็คราวนี้ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กระดูกเสือกทิ่มคออีกกู “ค่ะ...” พิมพ์อัปสรยิ้มแห้ง พยักหน้าขึ้นลงให้ปราบปลื้มมั่นใจว่าถ้ามีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เธอจะรีบบอกเขาทันที จะไม่ปล่อยให้เพื่อนคนใดของเธออาเจียนบนรถคันนี้แน่นอน หรือถ้าบอกไม่ทันเธอนี่แหละจะเป็นคนล็อกคอบีบปากบีบจมูกคนที่มันจะอ้วก ให้ขยับปากไม่ได้จนต้องกลืนอ้วกกลับเข้าไปที่เดิม ดูสิว่ามันจะกล้าอ้วกกันไหม "คุยกันมาตั้งนานพี่ยังไม่รู้จักชื่อพวกเราเลย?" เพราะกลัวน้องจะเครียด ก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ทว่าดูแล้ว...คงไม่ใช่แค่น้องมันหรอกที่เครียด คนปลอบเองก็เริ่มเครียดเหมือนกัน แล้วไม่ใช่เครียดธรรมดาด้วยนะ บอกเลยว่าเครียดหนักมาก กลัวไอ้ปาลยกตีนขึ้นมาถีบกระเด็นออกจากรถ บอกเลยว่าตีนมันโคตรหนัก ที่สำคัญกูยังไม่อยากอายุสั้นตอนนี้ครับ "ชื่อพริ้มค่ะ คนนั้นชื่อเจิน ส่วนคนที่นอนหลับชื่อกานดา" "ฮ่าๆ หลับลึกเลยนะครับ" ปราบปลื้มเบนตามอง หัวเราะเสียงดังจนไหล่สั่นแบบไม่กั๊ก "ชื่อพี่กับเพื่อนพวกเราคงรู้แล้ว?" "ค่ะ รุ่นพี่ปราบปลื้มกับรุ่นพี่ปาลทัต" ประโยคนี้พิมพ์อัปสรไม่ได้พูดนะ คนพูดคือจินดาหราที่เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับการสนทนามากขึ้นหลังจากที่ถูกเธอด่าด้วยสายตา มันกลัวเธอคิดบัญชีย้อนหลังไงก็เลยต้องแสดงตัว ทำดีชดใช้ความผิดประมาณนั้น “แล้วอยู่ปีไหนกัน? คงไม่ใช่ปีหนึ่งใช่มะ?” “ปีสองค่ะ พวกเราอยู่ปีสอง” พิมพ์อัปสรตอบ "ปีสองก็ต้องรู้จักไอ้ทีเจกับของขวัญสิ?" "รู้จักค่ะ ทีเจเป็นประธานรุ่น ส่วนของขวัญก็เป็นประชาสัมพันธ์รุ่น" "เออใช่ พี่ลืมว่ะ สองคนนั้นเป็นรุ่นน้องในสายรหัสพี่เอง" พิมพ์อัปสรยิ้ม ไม่ได้แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้ว เมื่อเช้าเธอก็เพิ่งกดถูกใจรูปในไอจีที่ปราบปลื้มพาน้องๆ ในสายรหัสไปกินเลี้ยงที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง กดถูกใจให้ทั้งรูปที่ปราบปลื้มโพสต์เอง และรูปที่ของขวัญโพสต์ ส่วนของทีเจเธอไม่ได้กดไลก์ให้เพราะไม่เห็นโพสต์ขึ้นมาที่หน้าฟีด “อ่อ...ถ้าร้อนก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายคิดซะว่าพวกพี่เป็นคนขับแท็กซี่ก็ได้" คนขับแท็กซี่? ไม่เลย ไม่คิด แล้วก็ไม่เกร็งสักนิดเดียว... หมายถึงนิดเดียวนะที่ไม่เกร็ง ที่เหลืออีกเก้าสิบเก้าส่วนเก้าคือเกร็งจนไม่รู้จะเกร็งยังไง เกร็งจนกล้ามเนื้อจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว คิดดูแล้วกันว่าเกร็งหนักแค่ไหน “ตกลงไม่ร้อน?” “ไม่ค่ะ...ไม่ร้อน” พิมพ์อัปสรส่ายหน้ารัว นอกจากจะไม่ร้อนยังคิดว่ามันออกจะหนาวไปด้วยซ้ำ “โอเคครับ ถ้าร้อนก็บอก พี่จะได้บอกเจ้าของรถมันปรับแอร์ให้ เห็นมันหน้านิ่งไม่พูดไม่จาแบบนี้ความจริงไม่มีอะไร มันใจดี มันแค่เขินพวกเราน่ะ” พูดจบก็หันไปยักคิ้วให้คนข้างๆ ที่กำลังมองมาด้วยสายตาดุดัน อีกนิดเดียวมันคงยกขาขึ้นมาถีบเขาลงจากรถจริงๆ ‘เขินบ้านพ่อง!’ เนี่ย...เห็นมะ ถ้าไม่สนิทกันจริง อ่านสายตากันไม่ออกนะจะบอกให้ พิมพ์อัปสรยิ้มขำ แต่เหมือนว่าเธอจะยิ้มนานไปหน่อยเลยได้มีโอกาสมองสบตาคมดุของปาลทัตผ่านทางกระจกส่องหลัง เมื่อหลบไม่ทันเลี่ยงไม่ได้ก็เลยต้องส่งยิ้มให้ ทว่ารอยยิ้มของเธอคงไม่กินใจพอจึงไม่สามารถทลายกำแพงหินเข้าไปได้ เมื่อคนรับไม่อินก็เลยต้องใช้มุขเดิม... ทำทีเป็นยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ดูมันอยู่แบบนั้นจนแน่ใจว่าคนหน้านิ่งดึงสายตากลับไปมองถนนด้านหน้าจึงลดโทรศัพท์ลงวางไว้บนตัก เป่าพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก คนอะไรตาดุเหมือน...ที่บ้านคุณย่าเธอเลย เหมือนว่าเธอทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาปาลทัตไปซะทุกอย่าง พยายามนึกหาสาเหตุก็นึกไม่ออก นอกจากเหตุการณ์ที่บังเอิญเจอกันหน้าคอนโด เธอกับปาลทัตก็แทบไม่เคยเจอหน้ากันตรงๆ เดินสวนกันที่คณะก็ปกติ ต่างคนต่างเดินไม่มีใครสนใจใคร หรือบางทีเขาอาจจะจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาไม่ชอบขี้หน้าเธอ? เห้อ... ยิ่งคิดก็ยิ่งมึน... นี่ถ้าดารัณอยู่พวกเธอคงไม่ลำบากลำบนแบบนี้ จะเมาเรื้อนเมาลากเมาหมดสภาพอ้วกแตกอ้วกแตนไร้ความเป็นกุลสตรีที่ไม่ค่อยมีขนาดไหน เพื่อนผู้ประเสริฐศรีเพื่อนผู้แสนดีของพวกเธอก็พากลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัยหายห่วง ไม่มีปล่อยทิ้งข้างทางแน่นอน ครืดๆ อา... พูดถึงก็โทรมาทันที ตายยากตายเย็นจริงๆ โทรมาตอนตีหนึ่งก็คงเป็นห่วงแหละ คงอยากรู้ว่าพวกเธอสามคนกลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพหรือยัง... เหอะๆ ประชดย่ะ อีหรอบนี้คงไม่พ้นมีเรื่องใช้งานเธอล่ะไม่ว่า "มีไร?" "อ้าวที่รักรับโทรศัพท์เขาต้องพูดสวัสดีปะ ไร้มารยาทว่ะ" "ตกลงมีไร? ถ้าไม่มีไรจะได้วาง" ที่ถามเพราะสถานที่ไม่เอื้อให้พูด(ด่า)ต่อ พูดเบาก็กลัวเพื่อนจะไม่ได้ยินจะเพิ่มเสียงก็เกรงใจผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะชายหนุ่มเจ้าของรถที่นั่งหน้านิ่งไม่ยอมพูดยอมจากับใครตั้งแต่รับพวกเธอขึ้นรถมา คงกลัวดอกพิกุลร่วงแหละ "ทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้ พรุ่งนี้ที่รักว่างปะ อ้อแอจะไปเที่ยวกระบี่กับเพื่อน ที่รักไปรับน้องมันที่ห้องไปส่งดอนเมืองให้เค้าหน่อยดิ" นั่นไง... กูว่าแล้ว เดาข้อสอบทำไมไม่แม่นแบบนี้บ้าง ถ้าไม่มีธุระที่ต้องใช้งานเธอไม่มีทางที่มันจะโทรมาหาเธอตอนตีหนึ่งตีสองแบบนี้ ที่บอกว่ามันเป็นเพื่อนประเสริฐศรีแสนดีที่หนึ่ง เธอขอคืน "กี่โมง?" "6 โมง" "6 โมงเย็น?" "เปล่า...6 โมงเช้า อ้อแอ้ขึ้นเครื่อง 7 โมงครึ่ง" "6 โมงเช้า! แล้วมึงโทรมาบอกกูตอนตีหนึ่งจะตีสองเนี่ยนะ มึงบ้าปะเดย์ มึงจะให้กูลากสังขารไปรึไงหะ!" จะไม่โมโหเลยถ้าวันนี้เธอไม่ได้ออกมาดื่ม แล้วตอนนี้ก็ยังอยู่ระหว่างทาง กว่าจะกลับถึงห้องกว่าจะอาบน้ำน้ำท่าเสร็จ กว่าจะจัดของเคลียร์ออร์เดอร์ ได้นอนจริงๆก็น่าจะปาเข้าไปตีสามเกือบๆตีสี่ คิดได้ไงให้เธอไปรับตอนหกโมงเช้า คิดว่าเธอเป็นหญิงเหล็กหรือไง? ไอ้เพื่อนชั่ว! "พริ้ม...เบาๆ เกรงใจรุ่นพี่"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม