เมื่อเดินลงไปถึงห้องรับแขกก็เจอกับมารดาและพิมพ์มาดาน้องสาวที่อายุห่างจากเธอไม่ถึงปีกำลังเดินสวนเข้ามาในบ้าน ในมือของน้องสาวเธอเต็มไปด้วยถุงชอปปิงพะรุงพะรัง ก็คงออกไปซื้อของกันมา ทว่าสิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่เรื่องที่ทั้งสองคนไปไหนมา แต่เป็นเรื่องเสื้อของเธอที่มันหายไป
“เดี๋ยวก่อนพรีม...”
“อะไร?”
“เธอเอาเธอพี่ไปรึเปล่า?”
“...”
“ว่าไง? เธอได้เอาเสื้อพี่ไปรึเปล่า?” พิมพ์อัปสรมองใบหน้าสวยของน้องสาวด้วยสายตาคาดคั้น เมื่อคนที่ถูกถามเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่ยอมตอบคำถามของเธอ
“เสื้อฮู้ดสีดำอะนะ อือ หนูเอาไปเองแหละ”
พิมพ์อัปสรหน้าตึง มองคนพูดตาขวาง “ใครให้เธอเอาเสื้อพี่ไปใส่ แล้วใครอนุญาตให้เธอเข้าไปในห้องนอนพี่ ถึงจะเป็นพี่น้องกันก็ต้องรู้จักมีมารยาท ห้องนอนก็คือห้องส่วนตัว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่ควรเข้าไป”
มันคือเสื้อฮู้ดสีดำของ CELINE ที่เพื่อนทั้งสามลงขันกันซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้เธอ แน่นอนว่าราคามันค่อนข้างแรง ถ้าให้ซื้อเองเธอก็คงขอผ่าน ถึงชอบมากก็คงตัดใจซื้อไม่ได้ ที่เธอโมโหไม่ใช่เพราะราคามันสูงแล้วหวงของ แต่เพราะมันคือของขวัญที่เพื่อนเธอให้ต่างหาก
“หนูก็แค่ขอยืมมาใช้แค่ครั้งสองครั้ง พี่พริ้มจะหวงอะไรนักหนา”
“ยืม? เธอยืมใครล่ะ? เธอไม่ได้โทรหรือว่าส่งข้อความหาพี่ด้วยซ้ำ อ่อ...ผีในห้องพี่งั้นสิที่เธอยืม”
“ก็พี่พริ้มไม่อยู่บ้าน...หนูตั้งใจจะบอกตอนพี่พริ้มกลับมาไง งั้นหนูขอยืมนะ”
ตั้งใจบอก?...หึ ถ้าเธอเชื่อก็โง่แล้ว
“พี่ไม่ให้เธอยืม ไปเอาเสื้อมา ครั้งหน้าก็อย่าเข้าไปในห้องพี่อีก พี่ไม่อนุญาต”
พิมพ์มาดาเม้มปากแน่น ใบหน้าถอดสีไม่คิดว่าพิมพ์อัปสรจะโมโหมากขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อยที่เธอจิ๊กเสื้อผ้าอีกฝ่ายมาใส่
“แม่...” เมื่อสู้ไม่ไหวก็เลยต้องหาตัวช่วย ซึ่งมารดาก็ไม่เคยทำให้เธอผิดหวัง
“อะไรกันยัยพริ้ม แค่เสื้อตัวเดียวจะโวยวายอะไรนักหนา พี่น้องกันมีอะไรก็แบ่งกันใช้สิ น้องก็บอกอยู่หยกๆว่าขอยืม เราก็อย่างกให้มันมาก เป็นพี่ก็ต้องรู้จักเสียสละให้น้อง”
เสียสละงั้นเหรอ?
แล้วเธอต้องเสียสละไปถึงเมื่อไหร่กัน
“แต่เสื้อตัวนี้มันเป็นของขวัญที่เพื่อนพริ้มซื้อให้”
คุณนาถฤดีชะงัก แต่ยังไม่ยอมจนมุมง่ายๆ “แล้วน้องจะรู้มั้ยล่ะว่ามันเป็นของที่เพื่อนเราซื้อให้ อย่างกให้มันมาก”
“พรีมไปเอาเสื้อมาคืนพี่เดี๋ยวนี้”
“ยัยพริ้ม...ที่แม่พูดไม่ได้ยินหรือไง ให้น้องยืมก่อน น้องใช้เสร็จเดี๋ยวน้องก็เอามาคืนเองแหละ”
พิมพ์อัปสรกำมือแน่น หันไปพูดกับพิมพ์มาดาเสียงเรียบ
“พรีมไปเอาเสื้อมาให้พี่”
“ยัยพริ้มเดี๋ยวนี้แกกล้าเถียงแม่เหรอ ฉันบอกอะไรสอนอะไรไม่ได้เลยสินะ ใช่สิก็ฉันไม่ได้เลี้ยงแกมานิ”
คำพูดของมารดาทำให้พิมพ์อัปสรนิ่งค้าง ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ก็เป็นแบบนี้ตลอด ไม่เคยมีสักครั้งที่คนเป็นแม่จะเข้าข้างเธอ ไม่มีเลยแม่แต่ครั้งเดียว
พิมพ์อัปสรแค่นยิ้ม ทั้งสมเพชทั้งเวทนาตัวเอง
“แม่รู้ด้วยเหรอว่าไม่ได้เลี้ยงพริ้ม” นอกจากจะไม่ได้เลี้ยง ก็อาจจะไม่ได้...รักเธอเท่าที่ควร
พิมพ์อัปสรไม่ได้หวังให้มารดารักเธอเท่ากับที่ท่านรักพิมพ์มาดาหรือพิชยะ...ทว่าความรักที่ท่านเหลือมาให้เธอมันน้อยจริงๆ
น้อยจนบางครั้งเธอสัมผัสไม่ถึงความรักนั้น บางครั้งยังเผลอคิดไปด้วยซ้ำว่า...
มันไม่มี
“ยัยพริ้ม! นี่แก!...ถ้ารู้ว่าโตมาจะดื้อด้านแบบนี้ฉันน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากแกให้มันรู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่โตมาเถียงฉอดๆ แบบนี้”
“นั่นสิคะ แม่น่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากพริ้มตั้งแต่วันนั้น”
พิมพ์อัปสรยิ้มเศร้า พูดจบก็เดินออกไปทันทีไม่รอฟังว่ามารดาจะพูดอะไรต่อ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
และไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรู้สึก...เจ็บจนจุก หายใจแทบไม่ออกแบบนี้ มันเกิดมาแล้วหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน
ก็ไม่แปลกเวลาที่ดูซีรี่ส์หรือว่าอ่านนิยายพล็อตเรื่องทำนองนี้แล้วเธอจะอินหนักถึงขั้นร้องห่มร้องไห้ตาปูดตาบวมจนเพื่อนทัก ถามว่าเป็นอะไร
ก็แค่อยากจะบอกว่าในนิยายหรือว่าในละครเจ็บไม่เท่าชีวิตจริง
แค่นั้นเอง...
“มีไร? อยากจะพูดอะไรก็พูดสิ”
ความเงียบปกคลุมเกือบยี่สิบนาที ก่อนที่พิมพ์อัปสรจะหันไปถามน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ พิชยะมองมาที่เธอหลายครั้งเหมือนมีเรื่องอยากพูดทว่าไม่ยอมพูด
“พี่พริ้มรู้แล้วใช่ปะว่าแม่ซื้อรถใหม่ให้พี่พรีม”
“อือ คันที่จอดอยู่หน้าบ้าน” มินิคูเปอร์สีส้ม Solaris Orange ถ้าเธอมองไม่เห็นก็คงตาบอด ก็จอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าบ้านซะขนาดนั้น
ก็สวยดี...เหมาะกับนักศึกษาแพทย์
เข้าเรียนซื้อรถ พอเกรดออกก็คงเป็นคอนโดสักห้อง
ก็ถูกต้องแล้ว
ส่วนเธอถ้าย่าไม่ซื้อรถให้ก็คงไม่ได้ขับ หรือถ้าอยากขับก็ต้องหาเงินดาวน์เองผ่อนเอง ไม่งั้นก็ต้องอาศัยพี่วินหน้าคอนโด หรือไม่ก็วานให้เพื่อนมารับ
เพราะไม่อยากจะเครียดมากไปกว่านี้ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอะไรเรื่อยเปื่อยเพื่อค่าเวลาระหว่างที่รถติดไฟแดง
เมื่อเช้าเธอเพิ่งจะโพสต์รูปเซลฟี่ตัวเองที่กำลังขับรถกลับบ้านลงในไอจี ก็มีหลายคนเข้ามากดไลก์และคอมเมนต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนเดิมๆที่ตามกดไลก์ตามคอมเมนต์เธอแทบทุกโพสต์ ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมเมื่อมีหนึ่งแอคเคาน์ที่ไม่เคยกดไลก์และคอมเมนต์เธอโผล่เข้ามา
P.Pluem : โห้...ตื่นเช้าเหมือนกันนะเรา นึกว่าจะตื่นเที่ยงๆซะอีก สบายดีแล้วเนอะ?
เป็นคอมเมนต์ของปราบปลื้ม
โพสต์ของเธอคงจะขึ้นหน้าฟีดเพราะเมื่อเช้าเธอเพิ่งไปกดไลก์รูปที่เขาโพสต์เมื่อคืนตอนตีสามกว่าๆ เป็นรูปด้านข้างรถอาวดี้ที่ด้านหลังเห็นเป็นเงาตะคุ่มก้อนกลมๆสามก้อนกอดประคองกันอยู่ด้านหลัง พร้อมกับแคปชั่น...
...เก็บเด็กหลงได้ข้างทาง...
เงานั้นคือเธอ จินดาหรา กาญจน์สิเนห์ เด็กหลงที่ว่าก็คงหมายถึงพวกเธอเช่นกัน
พิมพ์อัปสรที่กำลังจะเมนต์ตอบถึงกับชะงักงันเมื่ออยู่ๆ ตัวเลขการแจ้งเตือนของเธอก็วิ่งระรัวไม่หยุด...
PANTHAT.T ถูกใจโพสต์ของคุณ...
PANTHAT.T ถูกใจโพสต์ของคุณ...
PANTHAT.T ถูกใจโพสต์ของคุณ...
ถ้าบอกว่าคอมเมนต์ของปราบปลื้มทำให้พิมพ์อัปสรประหลาดใจแล้ว การกดไลก์ของปาลทัตที่ระรัวกดไลก์รูปของเธอเกือบยี่สิบรูปภายในเวลาไม่กี่วินาทีก็คงเรียกว่า...
ช็อค!...
และไม่ใช่แค่ช็อคธรรมดานะ เพราะเธอกำลังช็อคขั้นรุนแรง
“พี่พริ้ม”
“...”
“พี่ พี่พริ้ม...” พิชยะยกมือสะกิดพี่สาวที่อยู่ๆ ก็เงียบนิ่งไป สัญญาณไฟเขียววิ่งได้หกวินาทีแล้วคนขับก็ยังนั่งนิ่งเหมือนคนไม่รู้ตัว โชคดีที่ด้านหลังไม่มีรถ ไม่อย่างนั้นคงถูกบีบแตรไล่ดังสนั่นคับท้องถนนแน่ๆ
“หะ...หือ?”
“ไฟแดงแล้ว พี่เหม่ออะไรเนี่ย”
“เปล่า”
“เปล่าก็ไปดิ เดี๋ยวรถข้างหลังก็บีบแตรไล่หรอก”
บอกน้องชายว่าเปล่า ทว่าในหัวก็ยังวนเวียนอยู่กับคนที่เพิ่งระรัวไลก์ถล่มไอจีเธอ ถ้าเพิ่งเห็นว่าเป็นเพื่อนกันก็น่าจะกดไลก์เฉพาะรูปที่เป็นปัจจุบันที่ขึ้นฟีด แต่มันไม่ใช่ไง ปาลทัตเล่นกดไลก์ย้อนไปถึงรูปเมื่อหลายเดือนก่อน ทุกรูปที่ย้อนหลังก็ดันเป็นรูปเดี่ยวของเธอทั้งหมด
เขากำลังทำอะไร?
แค่มือลั่น?
หรือกำลังวางยาเธออยู่?