ตอนที่ 3
บ้านของขนม
“ค่ะ ..ขนมจะกลับบ้าน”
อยากกลับก็กลับ ดีเหมือนกันจะได้รีบส่งรีบกลับและเขาจะได้หมดธุระที่ไร้สาระนี่เสียที ส่วนของขวัญอะไรนั่นเดี๋ยวให้ แก้วกัลยา จัดการส่งตามมาให้ละกัน
RRR เสียงมือถือในกระเป๋าของเขมมิกาดังขึ้น
“ขนมค่ะคุณโอม”
วิณณ์ หรี่ตามองเล็กน้อยอย่างหมั่นใส้ ไม่ยักรู้ว่าพ่อตัวเองจะใส่ใจเด็กนี่จนออกนอกหน้าขนาดนี้
(ฉันขออภัยที่ไม่ได้ไปรับด้วยตัวเองตามที่สัญญาไว้แต่ก็ส่งเจ้าวิณณ์คนที่มอบทุนให้หนูไปแทน)
“ไม่เป็นไรค่ะแค่นี้ก็รบคุณโอมกับคุณปลามากแล้ว”
เออ!! รู้จักเกรงใจบ้างก็ดี
(เกรงใจอะไรกัน ว่าแต่กำลังมาที่นี่ใช่มั้ย)
“ไม่ค่ะหนูจะกลับบ้าน จะไปนอนที่บ้าน”
(ไม่ได้นะ ฉันลืมบอกไปว่ายังจัดการบ้านให้หนูยังไม่เรียบร้อยยังเข้าไปอยู่ไม่ได้)
เสียงที่เล็ดลอดจากมือถือนั้น ทำให้คิ้วหนาของวิณณ์ขมวดขึ้น ...จัดการบ้านให้ยังไม่เรียบร้อย หมายความว่าไงกัน พ่อเขาถึงขนาดจะซื้อบ้านให้เด็กนี่เลยยังงั้นเหรอ?
นังเด็กนี่ก็คงคิดจะหวังสบายทางลัด!!
“ไม่เป็นไรค่ะหนูอยู่ได้ ยังไงหนูก็อยู่ได้”
แถมนังเด็กขนมนี่! ยังยอมทุกอย่างคงยอมแม้กระทั่งจะกินน้ำใต้ศอกจากแม่ของเขาเลยซินะ
(ฉันขอคุยกับเจ้าวิณณ์หน่อย)
ดีเหมือนกัน เขาเองก็อยากจะคุยกับพ่อพอดี
“ถึงขนาดซื้อบ้าน...”
(วิณณ์พาหนูขนมไปหาที่พักก่อน บ้านของเขายังไม่เรียบร้อยดี)
คำสั่งของพ่อทำให้เขาขมวดคิ้วย่นยิ่งกว่าเดิม
“ผมไม่ใช่ลูกน้องของยายเด็กนี่นะพ่อ”
วิณณ์เอ่ยเสียงสูงอย่างหงุดหงิด นั่นทำให้เขมมิกานั่งตัวแทบจะลีบไปอีกฝั่ง ด้วยรู้สึกเรื่องราวจะยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ แค่เธอเรียนจบ แล้วขนของจากหอพักกลับมาบ้าน แต่คุณโอภาสผู้มีพระคุณกลับมาแจกแจงความเป็นอยู่ของเธอจนเริ่มจะวุ่นวายไปกันใหญ่ ทั้งที่เธออยากกลับบ้านจนใจแทบจะขาด
บ้านหลังที่แสนอบอุ่นที่เธอเคยอยู่กับพ่อและแม่
แม้ตอนนี้ท่านทั้งสองจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าแกเป็น”
“ผมจะไปส่งเด็กนี่ที่บ้าน ซึ่งจะเป็นอะไรยังไงก็ช่างผมไม่สนใจ เสร็จแล้วผมก็จะกลับแค่นี้ก็เสร็จธุระผมแล้ว และหากอยากจะเทคแคร์เด็กนี่นักหนา พ่อก็บอกคนอื่นมาทำละกัน”
เอ่ยเสร็จเขาก็ตัดวางสายทันที ก่อนจะหันกลับมามองเธอและเอ่ยเสียงสูง “บอกตำแหน่งบ้านเธอมาเดี๋ยวนี้!!”
ไม่นานนักแอสตันมาร์ตินก็มาจอดยังรั้วหน้าบ้านในเขตนนทบุรี หลังจากผ่าการจราจรและขึ้นทางด่วนมา แต่เมื่อเข้ามาซอยลึกจนจอดรถสนิท และมองเข้าไปในตัวบ้านหลังสีขาวชั้นเดียวแล้ว วิณณ์ ก็ต้องประหลาดใจยิ่งนัก ด้วยบ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวและมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด แถมบานประตูหน้าต่างก็ชำรุดทรุดโทรม เหมือนไม่มีคนอยู่อาศัยมานาน
บ้านผีสิงรึเปล่าวะเนี่ย!!!
“ขอบคุณมากค่ะที่มาส่งหนู”
หญิงสาวกระตุกเข็มขัดออก และเตรียมก้าวลงจากรถ แต่เสียงเข้มทักไว้เสียงก่อน
“เดี๋ยว!! อย่าบอกนะว่านี่บ้านของเธอ”
“ค่ะ บ้านหนูเองที่อยู่มาตั้งแต่เกิด”
“แล้วไม่มีคนอยู่เหรอ นานเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย เมื่อมองเข้าไปในบ้าน
“ก็ตั้งแต่หนูอยู่มัธยมปลาย ตามที่หนูเขียนเรียงความครอบครัวของฉันไปบอกคุณวิณณ์ แล้วได้ทุนเรียนต่อจนจบ”
เรียงความอะไรหว่า!! เขาไม่เคยจะอ่านมันด้วยซ้ำ และลายเซ็นต์ในเอกสารออนุมัตินั่นเขาก็คงจะเซ็นๆไปแทบไม่ได้เลยสักครั้ง
“เอ่อ...คนอื่นๆในบ้านเธอละ ฉันหมายถึงพ่อแม่พี่น้องหรือญาติเธออะ”
ควรจะต้องเอ่ยถามอย่างไรดี เพราะไม่รู้ว่าเธอเจอเรื่องอะไรมาบ้างแต่คนเรามันต้องพ่อแม่ญาติพี่น้องรึเปล่าละ พ่อไม่อยู่ก็ต้องมีแม่ หรือมีญาติบ้างแหละ
“ไม่มีค่ะพ่อแม่อยู่บนสวรรค์ ส่วนญาติคนอื่น....”
เสียงของเธอราบเรียบ ด้วยตระหนักได้ว่ารายงานที่เธอเขียนอย่างตั้งใจนั้น เขาคงไม่เคยอ่านมัน “...ไม่มีใครคิดว่าขนมเป็นญาติหรอกค่ะ”
วิณณ์ นิ่งไปสักพัก
“หนูเข้าบ้านก่อนนะคะ”
เธอเปิดประตูรถลง และคว้ากระเป๋าสัมภาระสองสามใบที่อยู่ด้านหลัง ลงมากองบนพื้นถนนหน้าบ้าน เพื่อจะเตรียมขนเข้าไปด้านใน “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”
ความจริงเขาก็น่าจะหมดธุระแล้ว!!
เสียเวลาทั้งวัน ....
งั้นก็กลับเลยดีกว่า!!
ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไร ก็พ่อเขาบอกให้มารับเด็กนี่จากหอพักกลับบ้าน และเด็กขนมก็อยากจะกลับบ้านตัวเอง แม้บ้านหลังนั้นจะดูรกร้าง น่ากลัว บานประตูหน้าต่างก็ไม่มี ห่างไกลผู้คน ขโมยขโจรก็น่าจะเข้าได้ง่าย
และผู้หญิงตัวคนเดียวแบบนั้น...
โธ่โว้ย!!!!!
เอี๊ยดๆๆๆ
เสียงเบรกของแอสตันมาร์ตินดังลั่น นั่นทำให้มือขาวของเขมมิกาชะงัก ขณะกำลังจะเข็นประตูรั้วบ้านที่ขึ้นสนิมเกรอะจนแทบไม่ขยับ
“คุณวิณณ์กลับมาทำไม?”
เธออุทานอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นร่างหนาลงจากรถและมองเธอด้วยสายตาหงุดหงิด แต่ก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อทายาทศรีพิพัฒน์เดินมาเอากระเป๋าสัมภาระของเธอใส่เข้าไปในรถดังเดิม
“มืดแล้วจะยืนอยู่ทำไมอีกละ”
“คะ”
คิ้วเรียวสวยของ เขมมิกาขมวดเข้าหากัน
“ขึ้นรถ! เดี๋ยวคืนนี้ไปพักเพนท์เฮ้าส์ฉันชั่วคราว”
***************