ตอนที่ 4
แค่ชั่วคราว
เขมมิกา ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรผิดร้ายแรงนัก และบ้านหลังนั้นที่อยู่ระหว่างปรับปรุงเองก็ไม่แย่มากมาย แถมในหมู่บ้านนั้นละแวกนั้นเธอก็คุ้นชินเพราะอยู่ตั้งแต่เด็ก แม้แต่ละหลังจะตั้งอยู่ห่างกัน และเธอเองก็รู้อยู่แล้วเพราะทางผู้รับเหมาก็โทรมาบอกว่ายังรีโนเวทไม่เรียบร้อย แต่เธอก็มั่นใจว่าสามารถเข้าไปนอนในห้องเดิมของตัวเอง ล็อคประตูและอยู่อาศัยได้ปกติเพื่อพรุ่งนี้จะได้คอยดูงานกับผู้รับเหมาด้วย
แล้วทำไมเขาต้องลากเธอมายังเพนท์เฮ้าส์หรูหราที่ใหญ่โตกว่าสิบเท่าของหอพักเธอด้วย แถมยังบ่นมาตลอดทาง
“ถ้าไม่ติดว่าได้รับปากกับพ่อ คงไม่พาเธอมาที่นี่หรอก”
วิณณ์ แค่นเสียงเมื่อวางของมากมายลง ใช่ซิ!!ถ้าไม่ติดว่าบิดาไหว้วาน ซึ่งตอนนี้เขาไม่อยากจะขัดใจในหลายอย่าง เพราะกำลังทำเรื่องขอเพิ่มทุนในเอสเอ็ม เพื่อจะขยายแพลตฟอร์มให้ใหญ่โตครอบคลุมมากกว่านี้
“งั้นหนูพักแค่คืนนี้คืนเดียวก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้จะรีบออกไป”
“ก็ดี”
ชายหนุ่มหันหลังให้ เมื่อมองสำรวจในห้องหรูของตัวเองที่นานๆจะมาพักที ช่วงหลังส่วนใหญ่เขาจะพักยังบ้านสองชั้นของตัวเองในซอยยี่สิบหกด้วยต้องการสมาธิในการวางแผนและคิดงาน บางครั้งก็กลับคฤหาสน์ศรีพิพัฒน์ไปนอนห้องนอนที่เคยนอนบ้าง แต่เพนท์เฮ้าส์นี้นานๆทีจะมาเฉพาะตอนแฮงค์เอ๊าท์กับเพื่อนๆเท่านั้น
“คุณวิณณ์กลับเลยก็ได้ค่ะ หนูสัญญาว่าจะอยู่แค่ในบริเวณนี้ตรงโซฟา และไม่ทำข้าวของอะไรในนี้เสียหายแน่นอน”
เธอเอ่ยเสียงเนือยๆ ด้วยวันนี้เริ่มรู้สึกล้ามาทั้งวัน และเธอไม่อยากเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของเขาไปมากกว่านี้
คนอะไรหล่อ! แต่อยู่ใกล้แล้วเครียดชะมัด!!
“ตลกดี!นี่ห้องฉัน แต่เธอกำลังไล่ฉัน”
อ้าว!
“....”
“คีย์การ์ดอยู่ตรงนี้ ห้องนอนอยู่ด้านบนมีสองห้องจะนอนห้องใหญ่หรือเล็กก็ได้เลือกเอา โซนครัวอยู่ด้านหลังน่าจะมีของแช่เย็นอยู่ในตู้อยากกินอะไรก็อุ่นเวฟเอาละกัน”
“ค่ะ”
เพิ่งรู้ว่าเด็กนี้ยียวนได้ตาใสแป๋วนัก
“ฉันกลับละ”
“ขอบคุณมากนะคะ”
อืม!! ก็ยังดีที่ขอบคุณ
RRR มือถือเขาดังขึ้นขณะกำลังจะเดินออกจากห้อง
“วิณณ์ครับ”
(ตกลงแกพาหนูขนมไปพักที่ไหน?)
พ่อเขาเอ่ยถามอย่างร้อนรน อยากรู้นักถ้าเป็นเขาจะห่วงกันขนาดนี้มั้ย?
“เพนท์เฮ้าส์ผม ..แค่ชั่วคราว”
(ขอบใจมากวิณณ์ ถือซะว่าเมตตาเด็กมัน)
ไม่นะ! เขาไม่ได้เปิดมูลนิธิขึ้นมาเพื่อเมตตาดูแลเด็กทุนทุกคนถึงขนาดนี้หรอกนะ ไม่งั้นวันๆเขาคงไม่ต้องทำงานทำการกันพอดี
“ผมกำลังจะกลับ”
วิณณ์เอ่ยเสียงเครียด ด้วยอยากให้วันที่แสนยาวนานนี้ควรจะจบได้แล้ว และเขาควรจะได้เอาสมองไปคิดเรื่องอื่นที่สำคัญและเป็นประโยชน์มากกว่านี้
(เด็กนั่นน่าสงสารมากนะ แม่เขาเป็นเพื่อนกับแม่แกคอยช่วยเหลือกันมาตลอด ตอนหลังโดนโกงจนล้มละลายและอยู่ๆก็ขับรถตกเหวพร้อมกันทั้งคู่ ทิ้งไว้เพียงหนูขนมที่ตอนนั้นเพิ่งจะขึ้นมอปลาย)
คำบอกของพ่อทำให้เขาชะงักเล็กน้อย ขณะเหลือบไปมองด้านหลัง เห็นคนตัวเล็กที่นั่งบนโซฟาริมแพนทรีย์ของห้อง กำลังลำเลียงของออกจากกระเป๋าสัมภาระอย่างใจเย็น
“.....”
(ตอนเด็กแกก็เคยไปเล่นบ้านเขาตอนที่พ่อแม่เขายังอยู่)
ว่าไงนะ!! เขาไม่เห็นจะคุ้นบ้านหลังนั้นเลยสักนิด
“ผมก็พามาพักที่เพนท์เฮ้าส์แล้วไง เห็นเด็กขนมนั่นบอกว่าพรุ่งนี้ก็จะกลับ”
ถึงเรื่องราวของเด็กนั่นจะน่าสงสารก็จริง แต่ทำไมเขาต้องรับฟังอะไรแบบนี้ให้รกสมอง เพราะทุกคนก็มีปัญหาตัวเองมากมายอยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาสักหน่อย
(ให้น้องอยู่นั่นไปจนกว่าบ้านจะเสร็จนั่นแหละ ขนมเขาอยากอยู่บ้านเขา แต่ผู้รับเหมาที่มาทำงานก็ทิ้งงานไปหลายคนละ ตอนแรกให้คนเราดู พ่อก็ไม่ได้ตามเดี๋ยวจะให้เชิดไปช่วยดูให้ ช่วงนี้ให้น้องพักอยู่นั่นไปก่อน แกก็มีบ้านอีกหลังอยู่แล้ว)
นั่นไง!! ไม่ผิดจากที่คิดไว้เลย
ยายเด็กขนมนี่ต้องไปล่อลวงอะไรพ่อเขาไว้แน่นอน
“นี่เธอ!”
วิณณ์หันหลังเดินกลับมา จะบอกอะไรหลายอย่างเพราะหญิงสาวอาจต้องค้างที่นี่อีกหลายวันจนกว่าบ้านหลังนั้นจะเสร็จ
“ฟี้ๆๆ”
คิ้วหนาของวิณณ์เลิกขึ้นสูงเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างเล็กที่ฟุบหลับไปกับโซฟาโดยมีกระเป๋าเสื้อผ้าวางไว้ข้างๆ ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน หน้าเนียนใสที่มีปรอยผมระอยู่หลับตาพริ้มโดยไม่สนใจว่าร่างหนาของเขาย่อกายลงนั่นข้างๆ
มือหนาเอื้อมไปปัดผมที่ระหน้าออกอย่างแผ่วเบา
“หลับทั้งยังงี้เลย?”
“อืม...หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ”
มุมปากของประธานเอสเอ็มยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงพึมพำจากหน้าที่หลับไหลนั้น เมื่อตระหนักอย่างน้อยวันนี้เขาก็ทำหน้าที่หลายอย่างได้ดี ทั้งส่วนของบริษัทเอสเอ็มและส่วนของมูลนิธิศรีพิพัฒน์
ร่างหนาโน้มต่ำลงสอดวงแขนแข็งแรงยังร่างบางอุ้มขึ้น และพาไปยังห้องนอนด้านใน ก่อนจะวางหญิงสาวลงบนเตียงนอนใหญ่อย่างระมัดระวัง วิณณ์ยืนมองเธออยู่เพียงครู่ก่อนจะเดินออกจากห้อง ...วันนี้หน้าที่ของเขาจบแล้ว