หญิงสาวไม่รออธิบายอะไรอีกเพราะคิดว่าคงไม่จำเป็นแล้วและขืนอยู่ต่อคงหนีไม่พ้นต้องล้างจานใช้หนี้จนไม่เหลือเงินสักบาท เธอถลันออกวิ่งไปด้วยความหวาดกลัว ฝ่าไอร้อนและกลิ่นน้ำมัน กลิ่นคาว ผ่านประตูครัวออกหลังร้าน เสียงด่าตามหลังลอยค้างในอากาศ เธอไม่หันกลับไปมองแม้แต่นิดเดียว สองเท้าวิ่งบนพื้นเปียกจนเกือบลื่น หัวใจเต้นรัวจนน้ำตาไหลออกมาเป็นสายกลัวคนที่ร้านจะวิ่งตามมาเอาเรื่องค่าทำจานแตก
ตรอกเล็ก ๆ พาเธอออกสู่ถนนใหญ่ซึ่งมืดสนิท ไฟริมทางทำหน้าที่ส่องแสงเป็นระยะ เธอหยุดหอบอยู่ใต้ป้ายรถเมล์ โทรศัพท์ไม่มี เงินติดตัวมีแค่หนึ่งร้อยบาทที่แม่ชีเมตตามอบให้ ที่พึ่งพิงไม่มี...และค่าจ้างคืนนี้ก็ไม่มีเช่นกัน
เธอก้มดูมือเพราะความแสบที่เพิ่งรู้สึกนิ้วที่โดนบาดเลือดยังซึมผ่านผ้าขี้ริ้ว หญิงสาวกัดฟันทน เจ็บที่มือไม่เท่าเจ็บในหัวใจ ความอับอายและการถูกย่ำยีศักดิ์ศรีบีบคั้นจนอยากร้องออกมาดัง ๆ ให้โลกได้ยิน แต่ก็รู้ว่าคงไม่มีใครหันมาฟัง
สุดท้ายเธอก็ต้องตัดสินใจแล้วเดินกลับวัด
อย่างน้อย…ที่นั่นก็คงยินดีต้อนรับคนไร้บ้านอย่างเธอ
เม็ดฝนเริ่มหนามากขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างที่เธอเดินลัดทางชานเมืองกลับไปยังวัด เสียงระฆังที่คุ้นหูเงียบไปหลายชั่วโมงแล้ว เหลือแต่เสียงรถราที่แล่นผ่านไปมาพาให้รู้สึกผวาอยู่บ่อยครั้ง เธอรีบสาวเท้าแล้วเดินเร็วขึ้น เมื่อถึงหน้าวัดกำแพงขาวก็ทอดยาวอย่างเงียบสงบ ประตูสเตนเลสปิดสนิทและถูกคล้องด้วยโซ่เส้นใหญ่
ดูเหมือนว่าเธอจะลืมความจริงง่าย ๆ ไปข้อหนึ่ง...
วัดมีเวลาเปิดปิดเป็นกิจวัตร จะให้เธอส่งเสียงตะโกนขอความเมตตาก็คงไม่ต่างอะไรจากคนบ้าที่กำลังรบกวนความสงบของคนด้านในอีกทั้งกุฏิของแม่ชีก็อยู่ลึกเข้าไปห่างจากประตูวัดอยู่มาก ต่อให้ใจกล้าส่งเสียงออกไปก็ใช่ว่าจะมีคนได้ยิน
แล้วคืนนี้เธอจะนอนที่ไหนดี...
หญิงสาวรู้ว่าเธอไม่มีแม้แต่ที่ให้นั่งข้างประตูอย่างปลอดภัย ท้องถนนตอนนี้อาจดีกับใครบางคน แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงตัวคนเดียวที่ไม่มีแม้ชื่อเรียกของตัวเอง
เธอถอยหลังไปพิงกำแพงวัด ร่างกายที่เปียกฝนจนหนาวสั่นทำให้ฟันกระทบกันเบา ๆ น้ำตาไหลออกมาอีกระลอก คราวนี้ไม่ใช่เพราะเจ็บมือ แต่เพราะความสมเพชในตัวเองจนแทบรับไม่ไหว
เธอกอดตัวเองแน่น...ภาพในหัวเป็นช่องว่างสีเทาไม่มีขอบไม่มีเส้น ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว ไม่มีอดีต และในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเธอก็นึกถึงผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ...ผู้ชายที่พูดน้อย ดุดัน เย็นชา แต่ก็เป็นคนเดียวที่เธออาจจะพึ่งพาได้แม้ว่าข้อเสนอของเขาจะฟังดูเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
มันเป็นข้อเสนอที่เธอเกลียดนัก เกลียดเพราะมันกดเธอไว้ใต้คำว่า ‘เมียอุ้มบุญ’ และ ‘ผู้หญิงที่กำลังจะขายลูกกิน’ แต่ในยามที่ความหนาวกัดกระดูกและความกลัวกัดกร่อนหัวใจ ข้อเสนอนั้นกลับดูเหมือนแพชูชีพผืนสุดท้ายที่เธอจำต้องคว้าไว้ก่อนชีวิตจะดับลง
“คุณนนท์…”
เธอพึมพำชื่อเขา ก่อนเช็ดน้ำตาหยาบ ๆ ด้วยหลังมือ
หญิงสาวมองไปรอบตัวที่ดูน่ากลัวอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นใหม่ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วออกเดิน คราวนี้มีจุดหมายคือโรงพยาบาลสิริเวช
ไฟสลัวจากร้านค้าริมทางว่อนไปกับเงาคนและรถเครื่องที่วิ่งวูบผ่าน บางช่วงมีหมาจรจัดเห่าใส่ เธอสะดุ้งจนวิ่งเหยาะ ๆ หนี ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนพื้นถนนเริ่มมีน้ำเจิ่งนอง
ในที่สุดสองขาเล็ก ๆ ของเธอก็พามาจนถึงหน้าโรงพยาบาล ไฟส่องสว่างเต็มลานจอดรถด้านหน้า เธอยืนหอบอยู่ในสภาพผมเปียกแนบใบหน้า เสื้อยืดตัวบางติดลำตัวจนหนาวสะท้าน มือที่พันผ้าไว้แดงเถือกเพราะชุ่มเลือด เธอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะก้าวเข้าไปในโถงชั้นล่างที่เงียบกว่าตอนกลางวัน มีแค่พนักงานเวรดึกเดินผ่านเป็นระยะ
ก่อนที่เวรเปลจะเดินเข้ามาทักทายเพราะเขาอยู่ตรงทางเข้า
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
เสียงเธอแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“เอ่อ...ฉัน...มาหา...คุณนนท์...เอ่อ…ผู้อำนวยการของพวกคุณ...ยังอยู่มั้ยคะ”
พนักงานชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนตอบออกไปอย่างสุภาพตามที่ได้รับการอบรมมา
“เอ่อ...นี่ก็ดึกแล้ว ท่านคงกลับแล้วล่ะครับ ให้ผมช่วยอะไรอีกมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอส่ายหน้าช้า ๆ
“ขอ…ขอนั่งแถวนี้สักพักได้มั้ยคะ” เพราะเธอไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนแล้วจริง ๆ อย่างน้อยที่นี่ก็คงปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับคืนนี้
“เชิญตามสบายครับ” เขาผายมือไปทางเก้าอี้ยาวหน้าโถง เธอก้าวไปตามทางแล้วทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง ความหนาวกัดผิวจนต้องยกสองมือขึ้นกอดตัวแน่น สายตาเหม่อลอยไปยังลิฟต์สเตนเลสที่ฉายเงาตัวเองเป็นร่างเลือน ๆ ทุกวินาทีเชื่องช้าเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาเมื่อไหร่ ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อใจจนเธอต้องนับเสียงหัวใจตัวเองเพื่อไม่ให้คิดเรื่องอื่น...หนึ่ง…สอง…สาม…
เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินแกรนิตดังขึ้นจากทางเดินฝั่งซ้าย จังหวะหนักแน่นสม่ำเสมอฟังดูคุ้นเคยอย่างประหลาด เธอหันไปมองด้วยสัญชาตญาณ พอเห็นร่างสูงในเชิ้ตสีเข้มกับสูทที่พาดแขนก้าวออกมาพร้อมเงาเย็นเฉียบและเค้าหน้าคมกริบ...หัวใจเธอก็เต้นแรงจนขอบตาร้อนผ่าว