“คือฉัน...ยังจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ ทุกอย่าง...มันว่างเปล่าไปหมด แม้แต่ชื่อของตัวเอง ฉันก็ยังจำไม่ได้เลย” เธอบอกพร้อมน้ำตาเอ่อคลอ รู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินในตอนนี้
“แปลว่า...คุณคงไม่มีที่ไปสินะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับแทนคำตอบเพราะมันจุกในอกไปหมดจนพูดไม่ออก
“ถ้าอย่างนั้น...ผมอาจมีข้อเสนอบางอย่างที่ดีให้กับคุณ”
“ข้อเสนอ...อะไรเหรอคะ”
เธอรีบเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาตื่นเต้นระคนสงสัย
“ในเมื่อจนถึงตอนนี้คุณยังจำอะไรไม่ได้ ไม่มีที่ไป และไม่มีใครออกตามหา…ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณตอนนี้ก็คือที่อยู่ใหม่ และ...เงินที่มากพอที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่ลำบาก”
“คุณหมายความว่า...จะหางานให้ฉันทำและ...หาที่อยู่ให้ฉันอย่างนั้นรึเปล่าคะ” เธอมองเขาอย่างมีความหวังหลังจากลองประมวลสิ่งที่เขาพูด
“ก็...จะเรียกอย่างนั้นก็ได้” เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่เธอนั่งก่อนหน้านี้ มือหนาประสานกันบนตัก ท่าทางสุขุมเหมือนนักธุรกิจที่กำลังเจรจาเรื่องสำคัญ
“แล้วคุณจะจ้างฉันทำอะไรคะ แม่บ้านทำความสะอาดหรือว่า...”
“ผมต้องการผู้หญิงที่สามารถให้กำเนิดลูกให้ผมได้...และคุณ…ก็คือคนที่ผมเลือก”
เธอตะลึงไปชั่วขณะเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
“คุณ...พูด…ว่าอะไรนะคะ?”
“เอาแบบง่าย ๆ เข้าใจไม่ยากนะ ผมต้องการให้คุณเป็นเมียอุ้มบุญของผม” น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่เด็ดขาดไม่มีแววล้อเล่น
“เราจะไม่แต่งงานกัน ไม่มีการจดทะเบียนสมรส คุณจะเป็นเมียผมแค่ในสัญญา ในสายตาของครอบครัวผมคุณคือแฟน แต่สำหรับผมคุณคือคนที่จะมาเป็นแม่ของลูก พอลูกคลอด...ทุกอย่างก็จบ คุณก็จะได้มีอิสระพร้อมกับเงินก้อนใหญ่ แบบนี้ต่อให้คุณจะความจำเสื่อมไปตลอดชีวิต คุณก็ยังจะดูแลตัวเองต่อไปได้ไม่ลำบาก”
“คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า!” เธอเผลอตะโกนออกมา เสียงสั่นด้วยความตกใจ
“นี่คุณ...คุณจะให้ฉัน...ขายลูกให้คุณเหรอคะ สมองของคุณน่าจะเสื่อมมากกว่าฉันอีก ทำไมไม่คิดอะไรให้รอบคอบ...”
เขายกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มที่ไม่ใช่ความสนุก แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความเหนือกว่า
“ผมไม่เคยทำอะไรโดยไม่คิด คุณเองก็เหมือนกัน ลองคิดให้ดี คนที่ไม่มีทั้งอดีตและอนาคตแบบคุณ จะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไงโดยที่ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่เงินเลย เสื้อผ้าหรือรองเท้าที่คุณจะใส่ออกจากโรงพยาบาลล่ะ มีรึเปล่า”
คำพูดนั้นบาดลึกลงในใจเธอ ความจริงที่เถียงไม่ได้ทำให้เธอก้มหน้าหลบสายตาคมดุที่จ้องมา
“ผมจะให้เงินคุณยี่สิบล้านบาท”
เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“คุณจะได้รับเงินก้อนแรกทันทีที่คุณตกลง และอีกส่วนหลังจากตรวจสุขภาพยืนยันว่าคุณพร้อมสมบูรณ์สำหรับการตั้งครรภ์ ที่เหลือจะได้รับครบเมื่อคุณให้กำเนิดลูก”
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก
“ฉัน…ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัวนะคะ”
เธอเอ่ยเสียงเบา แต่หนักแน่นพอให้เขาได้ยิน
บุญญานนท์โน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย ดวงตาเข้มสบกับเธออย่างตรงไปตรงมา
“ผมไม่ได้บอกว่าคุณเป็นอย่างนั้น ผมเรียกมันว่าข้อตกลง...คุณช่วยผม และผมก็ช่วยคุณ นี่คือการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม”
หญิงสาวหอบหายใจแรง สายตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เธอไม่เคยรู้สึกถูกกดดันแบบนี้มาก่อน มันเหมือนถูกขังอยู่ในห้องที่มีเพียงทางออกเดียว และกุญแจอยู่ในมือของชายตรงหน้า
ความเงียบเข้าครอบงำห้องพักผู้ป่วยในชั่วขณะหลังจากบุญญานนท์พูดจบ เสียงเครื่องปรับอากาศยังคงดังหึ่ง ๆ แต่ในความรู้สึกของเธอ ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง
“ฉัน…ไม่ตกลงค่ะ” เสียงของเธอสั่นเครือแต่ชัดเจน หญิงสาวส่ายหน้าแรง ๆ เหมือนอยากสลัดภาพทุกอย่างทิ้งไป
“ต่อให้คุณจะให้เงินกี่ล้าน ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันไม่รู้จักคุณเลย”
บุญญานนท์นิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่แววตาลึกและเย็นกว่าที่เคยเห็น
“ผมเข้าใจ” เขาพูดเรียบ ๆ
“แต่ลองถามตัวเองให้ดี ว่าคุณจะออกจากที่นี่ไปไหน ในเมื่อคุณไม่มีชื่อ ไม่มีบ้าน ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว”
คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดเข้าไปในใจ เธอเม้มริมฝีปากแน่นจนแทบห้อเลือด ความจริงก็คือ…เธอไม่มีที่ไปเลยจริง ๆ
เธอหันหน้าหนี ไม่อยากสบสายตาเข้มดุที่เหมือนอ่านทะลุทุกความคิดของเธอ แต่ในใจกลับสั่นคลอน
“ผมไม่เร่งรัดคุณ” บุญญานนท์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงไฟบางส่วน น้ำเสียงทุ้มเย็นชัดเจน
“ผมจะให้เวลาคุณคิด แต่จำไว้นะ...ทางเลือกของคุณมีจำกัด”
แล้วเขาก็ก้าวออกไปจากห้อง ปล่อยให้เธอจมอยู่กับความสับสนอยู่อย่างนั้น
สองวันถัดมา
เธอได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วในเช้าวันนี้ หญิงสาวเดินออกมาจากประตูบานเลื่อนอัตโนมัติพร้อมกระเป๋าผ้าใบเล็กที่ทางพยาบาลจัดของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อย่างพวกขนมไม่กี่ชิ้นพร้อมกับน้ำเปล่าสองขวด แน่นอนว่าคงเป็นความกรุณาครั้งสุดท้ายจากเจ้าของโรงพยาบาล แต่มันไม่พอแม้แต่จะทำให้เธอใช้ชีวิตต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนชุดที่เธอสวมใส่ก็คือชุดที่เธอสวมในคืนนั้นซึ่งมันถูกซักรีดเรียบร้อยจนไม่เหลือคราบเลือดใด ๆ และรองเท้าที่สวมอยู่ก็เป็นรองเท้าแตะจากโรงพยาบาล
เธอยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาล มองถนนที่เต็มไปด้วยรถราและเสียงผู้คน บรรยากาศคึกคักของเชียงใหม่ยามสายตัดกับความว่างเปล่าในใจเธอ
“แล้วฉัน…จะไปที่ไหน” เธอพึมพำกับตัวเอง ดวงตาร้อนผ่าว
ในมือของเธอมีนามบัตรเจ้าของโรงพยาบาลที่เธอได้รับมาจากผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ พันรบ ซึ่งมาหาเธอก่อนจะออกจากห้อง เขาแจ้งว่าเป็นเลขาฯ ของบุญญานนท์ และเจ้านายของเขาก็ฝากข้อความเอาไว้ว่า ‘ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ก็กลับมาหาผมที่นี่’