“เอาล่ะ ผมว่าตอนนี้คุณควรจะพักก่อน เอาไว้คุณดีขึ้นกว่านี้แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกที”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง ความคิดที่จะยื่นข้อเสนอเธอในตอนนี้อาจจะต้องพักไปก่อน เพราะนั่นคงยิ่งทำให้เธอตกใจมากกว่าเดิม
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนตั้งใจจะก้าวออกไปแต่เธอกลับคว้ามือเขาไปกอดเอาไว้อย่างลืมตัวและนั่นก็ทำให้เขาชะงัก
“คุณนนท์...อย่า...อย่าเพิ่งไปได้มั้ยคะ ฉันกลัว”
แววตาใสซื่อที่ไร้ซึ่งความทรงจำใด ๆ กำลังออดอ้อนเขาโดยไม่ตั้งใจ เพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่าโลกทั้งใบที่ว่างเปล่า กลับมีเขาเพียงคนเดียวที่เธอรู้จัก แม้จะเพิ่งรู้จักแค่ชื่อและหน้าที่การงานของเขาเท่านั้น
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องกลัว”
“แต่คุณจะทิ้งฉันไป คุณบอกว่า...ถ้าอยู่กับคุณฉันจะปลอดภัย ถ้าคุณไปแล้ว ฉัน...”
บุญญานนท์ถอนหายใจซ้ำ สิ่งที่เธอทำอยู่ทำให้เขานึกไปถึงหลานสาววัยสิบขวบที่เป็นลูกของน้องสาวฝาแฝดอย่างบุญญานุชขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผิดกันก็ตรงที่ผู้หญิงคนนี้อายุเกินสิบขวบแล้ว และตอนนี้เธอคงลืมไปว่ามือของเขาที่เธอกอดไว้ มันสัมผัสเข้ากับทรวงอกอวบอิ่มที่มีเพียงชุดคนไข้กางกั้นเอาไว้เท่านั้น
“คุณปล่อยผมก่อน”
“แต่คุณ...”
“ผมสัญญาว่าจะรอจนกว่าคุณหลับแล้วค่อยไป” เขาบอกเสียงนิ่ง แม้ในใจมันจะไม่ได้นิ่งตามน้ำเสียงเลยก็ตาม
หญิงสาวค่อย ๆ ปล่อยมือเธอจากมือเขา และนั่นก็ทำให้เขาต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เอาล่ะ ถึงตอนนี้เราจะยังไม่รู้ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน แต่คุณก็สามารถพักอยู่ที่ห้องนี้ได้จนกว่าคุณจะหายดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรทั้งนั้น” เขาเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเธอยังจ้องเขาตาแป๋วไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยก็คงช่วยทำให้เธอสบายใจได้เรื่องหนึ่ง
“แปลว่า...ถ้าฉันหายดี ก็ต้องไปใช่มั้ยคะ”
“ก็ใช่”
“แต่ฉัน...ไม่มีที่ไป”
คำพูดของเธอเหมือนจุดประกายให้เขาระลึกถึงความตั้งใจก่อนหน้านี้ได้ แต่เขาก็ยังอยากเพิ่มความกดดันให้เธอต่ออีกหน่อย
“นั่นคงไม่ใช่ปัญหาของผมหรอกมั้ง”
“ฉันรู้ค่ะ ฉันก็แค่...” ดวงตาของเธอหม่นเศร้าจนน่าสงสาร แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้ทางเลือกกับเธอง่าย ๆ
“อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ไม่แน่ว่าก่อนคุณจะหาย คุณอาจจำได้ขึ้นมาว่าคุณเป็นใคร”
“นั่นสินะคะ บางที...ฉันอาจจำได้” เสียงของเธอดูมีความหวังมากขึ้น
“แต่ถ้าคุณจำไม่ได้...ผมอาจหาทางออกให้คุณได้”
“คุณหมายความว่ายังไงคะ”
“เอาไว้ผมจะบอกเมื่อถึงวันนั้นจริง ๆ ตอนนี้คุณหลับเถอะ ผมไม่ได้ว่างมาเฝ้าคุณทั้งวันนะ ผมยังมีงานต้องทำ” น้ำเสียงของเขาดุขึ้นเหมือนกำลังดุเด็กคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะที่สร้างปัญหาให้คุณ ฉันจะพยายามหลับนะคะ”
เธอบอกก่อนจะหลับตาลงแม้ไม่รู้ว่าจะข่มตาหลับได้หรือไม่ เพราะมันมีเรื่องให้เธอต้องขบคิดเต็มไปหมด
เวลาผ่านไปหลายนาที ฤทธิ์ยาก็ทำให้เธอหลับสนิทไปได้อีกครั้ง บุญญานนท์ยื่นมือไปตรงหน้าเธอแล้วโบกไปมาเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอเหมือนอยากจะเช็กดูว่าเธอหลับไปแล้วจริง ๆ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วมองเธออีกครู่หนึ่งก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนั้นในที่สุด พร้อมกับคำถามที่ว่า...
เขาควรจะยื่นข้อเสนอนั้นให้เธออยู่รึเปล่า?
เขาควรจะให้ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้เข้ามาในชีวิตและเป็นคนให้กำเนิดทายาทของเขาจริง ๆ หรือไม่?
หากเธอเป็นคนไม่ดีล่ะ หรือหากเธอมีประวัติด่างพร้อย เป็นคนที่อันตรายเกินกว่าที่เขาจะคาดเดา มันจะเกิดผลดีหรือผลร้ายมากกว่ากัน...
นับตั้งแต่วันนั้น...เธอก็ไม่เห็นหน้าเขาอีกเลย
ไม่ว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมากี่ครั้ง คนเดียวที่เธอรู้จักเขาก็ไม่เคยนั่งอยู่ข้างเตียง มีเพียงคำบอกเล่าจากพยาบาลว่าเขาแวะมาถามอาการของเธอทุกวัน
แต่ทำไมเขาถึงไม่มาให้เธอเห็นหน้าเลย...
หญิงสาวรู้สึกน้อยใจอยู่ลึก ๆ ทั้งที่รู้ดีว่าเธอไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อเขาเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล ส่วนเธอก็แค่คนไร้อดีตไร้อนาคต เป็นคนที่ทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย แล้วเขาจะต้องมาสนใจเธอทำไมกัน
แต่นี่มันผ่านมาเกือบห้าวันแล้ว ห้าวันที่เธอได้แต่นอนมองหน้าจอทีวีและเพดานห้อง ดีหน่อยที่พยาบาลอนุญาตให้เธอไปนั่งเล่นริมผนังกระจกได้ ทำให้เธอได้มองวิวทิวทัศน์ของเมืองเชียงใหม่ มองเห็นดอยสุเทพอยู่ลิบ ๆ
และเป็นห้าวันที่เธอได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ถ้าออกจากที่นี่แล้ว เธอจะไปอยู่ที่ไหนดี ในเมื่อเธอไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นชุดคนไข้ อาหารที่กินอยู่ก็ของโรงพยาบาล การออกไปจากที่นี่ก็คงไม่ต่างจากการเป็นคนเร่ร่อนอย่างนั้นใช่รึเปล่า
พ่อแม่ของเธอ...จะยังมีชีวิตอยู่มั้ยนะ แล้วเธอจะมีพี่น้องที่กำลังเป็นห่วงสักคนหรือไม่ หรือว่าไม่เหลือใครในครอบครัวให้พึ่งพิงได้อีกแล้ว
ตอนนี้แผลภายนอกของเธอดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงจะหายสนิท แปลว่าเธอไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป แค่คิดว่าพอออกจากประตูโรงพยาบาลเธอควรเดินไปทางซ้ายหรือขวา มันก็เหมือนเป็นปัญหาที่หนักอึ้งเต็มที
แต่ละคำถามยิ่งทำให้หัวใจของเธอมันเศร้ามากขึ้นทุกวินาที และเพราะมัวแต่นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นเธอจึงไม่ได้ยินเสียงรองเท้าที่กระทบพื้นในตอนนี้
“คงไม่ได้คิดจะกระโดดลงไปหรอกนะ” เสียงของเขาดึงสติที่เลื่อนลอยให้กลับคืนมา และเมื่อเธอหันกลับมาเจอหน้าเขา หญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้วโผเข้ากอดเขาแน่นด้วยความดีใจ
“คุณนนท์ มาแล้วเหรอคะ” น้ำเสียงตื่นเต้นและอ้อมกอดของเธอทำให้เขาชะงักไปนานก่อนจะหาเสียงของตัวเองเจอ
“อืม ดูเหมือนคุณจะ...ดีขึ้นมากแล้วนะ” เขาค่อย ๆ ดันตัวเธอออกแล้วมองใบหน้าที่มีเลือดฝาดนั้นอย่างพอใจเพราะมันไม่ดูซีดเซียวจนน่าหงุดหงิดเหมือนก่อนหน้านี้
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวคิดว่าเขาคงอยากจะไล่เธอออกไปจากที่นี่เต็มที
“ค่ะ ฉัน...ดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่กี่วันก็คง...”
“หมอบอกว่าคุณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลย”
คำพูดของเขาเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของคนไร้บ้าน หญิงสาวบีบมือตัวเองแน่นไม่กล้าเงยหน้ามองสบตาเขาด้วยซ้ำ
“คุณ...มาไล่ฉันเหรอคะ”
“เปล่า แค่มาบอกให้ฟัง เผื่อคุณจำได้แล้วว่าคุณเป็นใคร”
เขาอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า มันก็ดูน่าสงสารดีอยู่หรอก แต่ทำไมเขาถึงชอบใจที่รู้ว่าเธอไม่มีที่ไปนักก็ไม่รู้
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาถามตัวเองเป็นล้านครั้งว่าควรจะปล่อยเธอไปตามทางหรือดำเนินตามสิ่งที่คิดไว้ และวันนี้เขาก็ได้คำตอบที่คิดว่าดีและถูกต้องที่สุดแล้ว