“นายจะพาฉันไปไหน”
เสียงแหบพร่าเอ่ยถามในขณะที่เธอกำลังใช้ผ้าเย็นพรมเช็ดตามใบหน้าและลำคอเพื่อบรรเทาอาการร้อนรุ่ม
“ไปหาหมอ”
ผมตอบกลับเสียงเรียบ สายตาเพ่งมองไปยังท้องถนนโล่ง ๆ ที่ไร้รถวิ่งสวน เพราะตอนนี้เวลาย่างเข้าตีหนึ่งแล้ว
“ฮะ! ไม่ได้นะ”
เธอร้องเสียงหลง ก่อนจะพุ่งเข้ามาแย่งพวงมาลัยจากผมจนรถแทบเสียหลัก โชคดีที่ไม่มีรถขับสวนมา
“คุณหนู! ทำบ้าอะไรเนี่ย”
ผมโวยวายด้วยความฉุนเฉียว ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ยอมคลายมือจากพวงมาลัย จนผมต้องยอมหักพวงมาลัยและจอดรถอยู่ข้างทาง
“อยากตายหรือไง!”
สิ้นความอดทน ผมก็ตะโกนเข้าหน้าผู้หญิงตัวเล็กอย่างเหลืออด ดีแต่สร้างปัญหา ถ้าไม่ติดว่าสวยและฐานะดี ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าพิศวาสเลยจริง ๆ
“นายนั่นแหละ! ทำบ้าอะไร ถ้าไปโรงบาลคนก็รู้หมดน่ะสิ”
นาทีหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังมีกระจิตกระใจมาห่วงเรื่องแบบนี้อยู่อีก
“งั้นกลับบ้าน จะให้หมอประจำตัวมาตรวจให้”
“แบบนั้นยิ่งไม่ได้ พ่อฉันต้องรู้แน่”
“หึ ทีอย่างนี้ล่ะกลัว”
ผมพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ก่อนจะกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย พลันถอยหายใจออกมาแรง ๆ
“แล้วจะเอาไง”
คนข้างกันยังไม่ให้คำตอบในทันที เธอเอาแต่ก้มหน้าพลางบีบมือตัวเองเอาไว้แน่น คล้ายกำลังระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในกาย เอาจริงเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร แต่อีกใจก็สมน้ำหน้าที่เธอดื้อรั้น โดนเสียบ้าง ต่อไปจะได้ไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้อีก
“เลี้ยวเข้าโรงแรมนี้”
นิ้วเรียวชี้ไปยังโรงแรมเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า
“แล้วไงต่อ”
“บอกให้เลี้ยวก็เลี้ยวเถอะน่า! ฉันเป็นเจ้านาย สั่งอะไรก็ทำซะสิ”
คนตัวเล็กตวาดลั่น แววตาที่ฉ่ำปรือเคล้าความไม่พอใจที่ถูกเซ้าซี้ แต่ในเมื่อผมไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดคำสั่ง ผมก็ทำได้เพียงก้มหน้าและยอมทำตามที่เธอพูด อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อไป
หลังจากที่เข้ามาในโรงแรมแล้ว คุณหนูก็สั่งให้เปิดห้องเอาไว้สองห้อง โดยห้องหนึ่งให้ผมอยู่ ส่วนอีกห้องเธอจะอยู่คนเดียว แต่ผมไม่ยอม เพราะกลัวเธอจะช็อกหรือเป็นอะไรไป
“นายอย่าเรื่องมากได้ไหม! ฉันสั่งให้ออกไปรอที่ห้องนั้นก่อน”
“ไม่ไป เกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยคุณหนูทัน”
ผมเถียงกลับทันควัน ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามจะดันผมให้ออกห่างไปจากตัว
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า ฉันก็แค่...”
เธอหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ ทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบประโยค แต่สายตาวูบไหวของเธอที่แสดงออกมามันฟ้องว่าเธอกำลังจะพูดอะไร
“จะช่วยตัวเอง?”
“มะ ไม่ใช่!”
เธอรีบตอบกลับน้ำเสียงละล่ำละลัก แต่คิดว่าจะปิดบังคนอย่างผมได้งั้นเหรอ? ไม่มีทางหรอก
“หึ ก็ได้ งั้นมีอะไรให้ช่วยก็โทรมาแล้วกัน”
ผมยอมเดินออกจากห้องที่เธออยู่แล้วมานอนรอที่ห้องข้างกัน ระหว่างนี้ก็คอยสังเกตว่าห้องข้าง ๆ มีเสียงผิดปกติอะไรหรือเปล่า แต่ผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้ว ผมยังไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น แม้จะแนบหน้าใส่ผนังก็ยังคงไม่มีเสียงอะไร พอโทรเข้าไปเธอก็ไม่ยอมรับสาย จนในที่สุดผมต้องลุกขึ้นไปเคาะห้องเพื่อดูให้แน่ใจว่าเธอยังปลอดภัยอยู่
ก๊อก ก๊อก
“คุณหนู”
ผมเคาะประตูห้องแล้วร้องเรียก แต่คนด้านในกลับไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งสิ้น ผมจึงถือวิสาสะไขกุญแจแล้วผลักประตูเข้าไป ถึงได้เห็นว่าตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงในลักษณะคลุมผ้าห่มสีขาวขึ้นมาถึงอก ใบหน้าของเธอไม่ได้ต่างไปจากก่อนหน้านี้เลยสักนิด ซ้ำแววตายังฉ่ำเยิ้มมากกว่าเดิม
“ผมโทรหาทำไมไม่รับ”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา ผมเองก็วางตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าใต้ผ้าห่มนั้นเธอกำลังเปลื้องผ้าอยู่หรือเปล่า แต่เธอใส่กระโปรงนี่ อาจจะแค่ถลกมันขึ้นแล้วก็...
คิดอะไรของมึงไอ้เชนทร์! ลามปามฉิบหาย เขาเป็นเจ้านายมึงนะ
“โทรครั้งต่อไปก็รับสายหน่อยแล้วกัน”
ผมตัดบทแล้วเตรียมจะเดินออกไปจากห้อง ทว่าเสียงเรียกหอบกระเส่าของเธอก็ทำให้ผมชะงักฝีเท้าได้ในทันที
“ช่วยหน่อย...”
หือ? เธอคงไม่ได้หมายถึงให้ผมช่วยเรื่องอย่างว่านะ
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ”
ผมตีสีหน้าเป็นปกติ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ สีหน้าเงียบขรึมอย่างที่ชอบทำ
“ช่วยทำให้ฉัน... หายจากความรู้สึกนี้”
“ก็บอกให้ไปหาหมอ”
เธอส่ายหน้าระรัวพลันขบริมฝีปากล่างแน่น แววตาหยิ่งทะนงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หลงเหลือเพียงสายตาฉ่ำปรือที่กำลังวอนขอต่อความต้องการที่ท่วมเป็นไฟเผากาย
“ถ้าต้องอายคนทั้งโรงพยาบาล ฉันยอมอายแค่นายคนเดียวดีกว่า”
หึ ผมอยากยกโทรศัพท์ขึ้นมาอัดคลิปสภาพคุณหนูมิลินผู้เย่อหยิ่งจริง ๆ จากแม่เสือสาวที่เอาแต่แผลงฤทธิ์ไม่เว้นวัน ตอนนี้เธอกำลังอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากผม เป็นแมวน้อยอยากกินขนมแมวเลียยังไงอย่างงั้น
“พูดมาเคลียร์ ๆ ว่าอยากได้อะไร”
จริง ๆ ก็รู้ถึงเจตนาแล้วแหละ และไม่คิดที่จะทำด้วย แต่แค่อยากแกล้งให้เธออับอายที่สุด เอาคืนที่ชอบข่มเหงผมดีนัก
“ช่วย... ทำให้ฉันหายอยาก”
“ให้ช่วยยังไง”
คนตัวเล็กเม้มปากแน่นยิ่งขึ้น ใบหน้าที่ร้อนผ่าวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า หรือเพราะเธอกำลังเขินอยู่กันแน่
“ฉะ ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ เล็บมันยาว”
เธอพูดพร้อมกับยกมือที่สั่นไหวขึ้นให้ผมดูพลางหลบสายตา และถ้าสังเกต จะเห็นคราบน้ำสีใสข้น ๆ ที่ติดอยู่ปลายเล็บสีชมพูทั้งนิ้วกลางและนิ้วนาง...
ถ้าเธอกล้าทิ้งความอับอายลงมากขนาดนี้ คงอยากมากจริง ๆ เพราะขนาดเป็นผมที่เกลียดนักหนา เธอยังร้องขอให้ตอบสนองต่อความอยากกระสันนั้นเลย
“แล้ว?”
“ยืมนิ้วนายหน่อย”
“หึ”
ผมกระตุกยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ พลันยกมือขึ้นมากอดอก อยากจะเห็นผู้หญิงคนนี้ร้องขอความช่วยเหลือจากผมต่อ แต่พอเห็นร่างบางที่สั่นสะท้าน มันก็อดที่จะสงสารไม่ได้
“รออยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวไปซื้อเซ็กส์ทอยให้”
ผมเตรียมจะหันหลังให้เธออีกรอบ แต่กลับถูกห้ามเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ต้อง! ฉันรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เธอไม่เปิดโอกาสให้ผมได้หาทางหลบออกมา ซ้ำยังลุกขึ้นนั่งพับเข่าแนบหน้าขาไปกับพื้นแล้วกระชากผ้าห่มออก เผยให้เห็นเรียวขาสวยทั้งสองข้างและหว่างขาที่เปิดอ้า ข้างกันมีกางเกงในสีดำตัวจิ๋วที่ถอดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ต่อให้ยั้งอารมณ์ตัวเองเก่งแค่ไหน มันก็มาตกม้าตายเพราะถูกอ้าขายั่วอยู่ดี
“ผมว่า...”
“จะทำไม่ทำ! ถ้าไม่กล้า ฉันจะโทรเรียกคนอื่นมาทำ”
“...”