ฟุบ!
"ไปเรียนรู้วิธีการพูดประชดประชันแบบนั้นมาจากที่ไหน เธอหึงฉันหรือไงถึงได้พูดแบบนั้นออกมา"
หลังจากที่ลากคนตัวเล็กกว่าเข้ามาในห้องได้สำเร็จแล้ว เขาก็จัดการเหวี่ยงเธอให้นั่งลงบนโซฟาราคาแพงทันที ก่อนจะนั่งตามลงไปภายหลัง โดยที่ไม่ได้สนใจสีหน้าเหยเกของอีกฝ่ายที่บิดเบี้ยวเพราะแรงกระแทกลงบนโซฟาก่อนหน้านี้สักนิด
ทำให้พราวฟ้าที่นั่งทนเจ็บอยู่อยากใช้มือฟาดเจ้าของห้องที่นั่งจ้องหน้าเธอตอนนี้ชะมัด เธอก็ตัวเล็กน่าทะนุถนอมซะขนาดนี้ เหวี่ยงมาได้หลังแทบหัก
"ฉันถามก็ตอบสิ จะนั่งจ้องหน้าฉันตาขวางแบบนั้นทำไม"
"แล้วก่อนที่จะตั้งคำถามนั้นออกมา นายใช้สมองคิดหรือยังล่ะ ฉันจะไปหึงนายทำไม นายมีอะไรที่ฉันต้องหึงเหรอ แฟนก็ไม่ใช่ ผัวก็ไม่ใช่ ก็แค่เพื่อนเฉยๆ" พราวฟ้าตอบสีหน้าเรียบ ก่อนจะเบือนหน้าหันไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าหล่อๆ ของมาร์ติน
เธอไม่เข้าใจการตั้งคำถามของมาร์ตินเลยสักนิดว่าทำไมต้องถามแบบนั้นออกมา ถามว่าเธอหึงเขางั้นเหรอ? เธอจะไปหึงเขาทำไมกันก็ในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันที่มันสามารถจะหึงกันได้นี่
ก็แค่เพื่อน เพื่อนกันมันหึงกันได้เหรอ ก็ไม่ได้อยู่แล้ว แล้วจะถามเพื่อ?
"แล้วอยากลองมาเป็นเมียฉันไหมล่ะ เผื่อจะได้หึงสมใจ"
ขวับ!
บ้า เขามันบ้าไปแล้ว พูดบ้าอะไรอยู่รู้ตัวหรือเปล่านะ แล้วไอ้สีหน้ากับสายตาที่จ้องเธอตอนนี้ก็ด้วย อย่ามาทำเป็นทีเล่นทีจริงแบบนี้ได้ไหม เราเป็นเพื่อนกันนะ
"นายเมาหรือไง พูดบ้าอะไรออกมา" พราวฟ้าว่าเสียงฉุน จ้องนัยน์ตาคมดุตรงหน้านิ่ง เธอไม่ขำด้วยนะที่อีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้น นี่มันไม่ใช่ตอนเด็กๆ แบบที่ชอบเล่นเป็นแฟนกันปลอมๆ สักหน่อย เราโตกันแล้วจะมาพูดจาเพ้อเจ้อแบบนี้มันไม่ได้
เพราะ...ตอนที่เขาพูดเมื่อกี้มันแอบทำให้หัวใจของเธอที่สงบนิ่งอยู่ดีๆ เต้นแรงขึ้นมานะสิแถมแก้มทั้งสองข้างของเธอตอนนี้ก็ร้อนผ่าวไปหมดแล้วด้วย สับสนกับตัวเองชะมัด
"ก็จูบกันแล้ว ก็ไม่ใช่เพื่อนกันแล้วไง" วะว่าไงนะ! จะบ้าเหรอ ไม่ได้ ตาบ้านี่ พูดบ้าอะไรออกมาแบบนั้น โอ๊ะ! พราวฟ้าคืออ้าปากค้างถลึงตาโตกับคำพูดของมาร์ตินไปเลย
ขอถามหน่อยเถอะ ตาบ้านี้จู่ๆ เป็นอะไรขึ้นมาฮะ ล้มหัวฟาดพื้นมาเหรอที่อยู่ๆ ก็มาพูดจาแบบนี้กับเธอ ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาเขาแทบเห็นเธอเป็นเหมือนธาตุอากาศหรือถ้าบังเอิญสบตากันเขาก็จะมองเธอเหมือนอยากจะฉีกเนื้อด้วยสายตาจะตายไปด้วยซ้ำ แล้วไหนจะทุกๆ เช้าที่บังเอิญออกมาจากห้องพร้อมกันแต่เขาเมินเฉยต่อเธอทุกเช้านั่นอีก
แต่นี่อะไรกันแค่จูบกันไปหนึ่งครั้งเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ก็ทำให้เขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้เลยเหรอ ปากของเธอมันเปลี่ยนตาบ้านี้ได้หรือไงกัน
"เหอะ นายมันบ้าที่สุด" พอพราวฟ้าหยุดคิดหยุดอึ้งกับคำพูดของมาร์ตินแล้ว เธอก็แค่นเสียงในลำคอตัวเองอย่างเย้ยหยันออกไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากโซฟาของมาร์ติน เพราะถ้าขืนเธออยู่ต่อคงได้ประสาทกินกับคำพูดบ้าๆ ของมาร์ตินแน่
แต่...
"ฉันจูบเธอแล้วอย่าให้ใครมาทับรอยจูบของฉันเด็ดขาด ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน" เสียงทุ้มว่าขึ้นก่อนจะเหลือบมองแผ่นหลังบางที่หยุดอยู่กับที่สายตานิ่งเรียบ ไร้วี่แววของการล้อเล่นในน้ำเสียงนั้นที่เขาเพิ่งลั่นออกไป ทำให้คนที่ได้ยินอย่างพราวฟ้าถึงกับเม้มริมฝีปากแน่นหลับตานิ่งเลยทีเดียวที่เขายังไม่เลิกพูดจาเพ้อเจ้อพวกนั้นออกมา
เราสองคนแค่จูบกันเฉยๆ แล้วทำไมถึงได้พูดเหมือนเป็นการตีตราร่างกายเธอแบบนี้ ที่สำคัญเขาลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเราทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน แค่จูบที่เขาเป็นคนเริ่มก่อนมันก็สร้างความลำบากในใจเธอมากพอแล้ว
แล้วนี่คิดจะมายัดเยียดตัวเองให้เธออีกเหรอ? เพื่อนกันไม่ควรทำแบบนี้หรือเปล่า
"เราแค่จูบกันเฉยๆ อีกอย่างสิ่งที่นายทำมันก็มากเกินพอสำหรับสถานะของเราสองคนแล้วมาร์ติน อย่าทำให้ฉันลำบากใจจนมองหน้านายไม่ติดกว่าเดิมได้ไหม" น้ำเสียงเบื่อหน่ายจากพราวฟ้าลั่นออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ซึ่งการพูดและใช้น้ำเสียงแบบนั้นของเธอมันก็สร้างความไม่พอใจแก่คนที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ดีเลยทีเดียวด้วย
"ทีตอนกับไอ้ไคเธอไม่เห็นพูดแบบนี้กับมันบ้าง"
"จะให้ฉันพูดอะไรล่ะ ก็เรายังไม่ได้ทำอะไรกันเลยเถอะ"
"ก็ถ้าฉันไม่เข้าไปขัดซะก่อน เธอก็คงโดนมันจูบไปแล้ว"
"ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ"
"ทำไม ฉันพูดแทงใจดำเธอหรือไง..."
"..." พราวฟ้าเงียบ ยืนนิ่งไม่ตอบ ทำให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาต้องเบือนสายตาไปทางอื่นก่อนจะพาดแขนบนโซฟามองตรงไปข้างหน้าสีหน้าเรียบนิ่ง "เอาเถอะ ช่างเรื่องของเธอกับไอ้ไคคืนนั้นไปเถอะ เพราะยังไงซะคนที่ตีตราเธอไปแล้วด้วยปากก็คือฉัน เพราะฉะนั้นจากนี้ไปเธอก็เป็นของฉันคนเดียว"
"หึ นายจะเอาอะไรกับอีแค่การจูบ"
"ก็ถ้าอยากได้มากกว่าจูบ...ก็ได้ถ้าเธอพร้อม" ริมฝีปากสีแดงตุ่นอย่างคนสุขภาพดีขยับพูดอีกครั้ง ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าสวยของพราวฟ้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสายตานิ่งเรียบ
สิ่งที่เขาพูดออกไปทั้งหมด เขาไม่ได้พูดเล่นหรือพูดออกไปเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองก่อนพูด สิ่งที่พูดออกไปเขาคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าต้องการให้มันเป็นแบบนั้น เขาทนหงุดหงิดเพราะเห็นพราวฟ้าอยู่ใกล้คนอื่นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
เธอต้องเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาคนเดียวด้วย ตอนนี้เขาตีตราเธอด้วยการจูบ แต่เชื่อเถอะว่ามันจะมีสิ่งที่น่าทึ่งกว่าการจูบเกิดขึ้นแน่นอน เขาจะทำมัน และจะฉวยโอกาสทำด้วย
"..."
"ฉันจะไม่ข้ามสถานะเพื่อนของเราเด็ดขาด" ว่าจบพราวฟ้าก็สะบัดหน้าเดินตึงตังออกไปจากห้องของมาร์ตินทันที
ตอนแรกเธอคิดว่าจะลงไปทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ คอนโด แต่พอมีเรื่องไม่เป็นเรื่องมาวุ่นวายในหัวแบบนี้แล้ว เธอเลยเลือกที่จะกลับเข้าไปในห้องของตัวเองแทนพร้อมกับโดดขึ้นเตียงมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนาแล้วหลับตาลง ทิ้งเรื่องราวแสนปวดหัวที่มาร์ตินสร้างไว้ก่อนหน้านี้ไว้ข้างเตียงค่อยๆ ปล่อยไหลตัวเองเข้าสู่ห่วงนิทรายามเย็นด้วยความสงบ
โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรหลังจากนี้ว่าจะมีเรื่องแสนน่าช็อกเกิดขึ้นจากฝีมือชายหนุ่มซึ่งอยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามกำลังทำบางอย่างที่เป็นสิ่งเหนือการคาดหมายขึ้นมา...
"สวัสดีครับอาเธียร"
"อืม หวัดดี โทรหาอามีอะไรเปล่า" ชายวัยกลางคนที่ยังหนุ่มยังแน่นเปรี๊ยะรับสายลูกชายเพื่อนที่ไม่เคยโทรหาตัวเองเลยสักครั้งด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อยว่าหนุ่มรุ่นลูกโทรมาหาเขาทำไม ก่อนจะพยักหน้าแจ้งลูกน้องในสนามว่าจะออกไปคุยธุระข้างนอกก่อน ซึ่งขณะที่กำลังเดินอยู่คนในสายก็ตอบกลับเสียงสุภาพกลับมา
"มีครับ..."
"เรื่องอะไร" คนมีอายุกว่าเอ่ยถามคนรุ่นลูกในสายคิ้วขมวดเป็นปมอีกครั้ง น้ำเสียงที่ฟังดูนิ่งๆ ไม่มีความประหม่าหรือสั่นกลัวต่อเขาอย่างที่คนรุ่นลูกคนอื่นๆ มักจะเป็นเวลาที่ได้คุยกับเขามันช่างสร้างความอยากรู้อยากเห็นแก่เขาเสียจริงว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้มาร์ตินลูกชายเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่าไหร่ตั้งแต่เด็กๆ กล้าโทรมาหาเขาแบบนี้
ขณะที่คนถูกถามก็นิ่งเงียบไปสักพัก สายตาคนเจ้าแผนการมองตรงไปข้างหน้านิ่งขณะที่สมองกำลังนึกถึงเรื่องสนุกๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นจนเก็บรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ไว้ไม่อยู่ ก่อนจะตอบกลับผู้ใหญ่ในสายในเวลาต่อมา
"...พรุ่งนี้ผมจะให้ป๊าเข้าไปคุยเรื่องการหมั้นของผมกับพราวฟ้าครับ"
"เอางั้นเลยเหรอ" ทันทีที่คนรุ่นลูกตอบกลับมาก็ทำเอาคนรุ่นใหญ่ถึงกับชะงักนิ่งค้างไปชั่วขณะหลังจากที่ได้ยินประโยคที่ออกมาจากต้นสายที่โทรเข้ามา ก่อนจะรีบตั้งสติแล้วตอบกลับไปในเวลาต่อมา "อาต้องถามพราวฟ้าก่อนนะว่าจะยอมหมั้นกับเราหรือเปล่า" เธียรเกิดอาการมึนงงและสับสนแบบไม่ทันตั้งตัวไปเล็กน้อยที่ได้ยินว่าลูกสาวคนโตของตัวเองจะถูกอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่ได้สนใจในตัวลูกสาวเท่าไหร่ทาบถามถึงการหมั้นหมายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้
เขาก็พอรู้ว่าไอ้แปลนเพื่อนสนิทของเขามันคอยเอ็นดูพราวฟ้าอยู่ แต่ไม่คิดว่าลูกชายเพื่อนจะเอ็นดูกว่าจนอยากหมั้นหมายด้วยขนาดนี้ และเรื่องใหญ่แบบนี้เขาก็ต้องคุยกับพ่อของอีกฝ่ายก่อนด้วย ว่ามันเรื่องอะไรกันถึงได้กล้าโทรมาคุยเรื่องใหญ่โตแบบนี้กับเขาตรงๆ แถมยังดูไม่เกรงกลัวในมาดพ่อหวงลูกสาวมากๆของเขาด้วย ใจถึงสมกับเป็นหลานมาเฟียสินะไอ้เด็กคนนี้
"ไม่ต้องถามหรอกครับ เราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว" ตกลงกันแล้วด้วยเหรอวะ
"เดี๋ยว แล้วไปตกลงกันได้ยังไง ที่ผ่านมาอาเห็น..."
"เอาเป็นว่าเราคุยกันแล้วละกันนะครับ แค่นี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ" แล้วสายก็ถูกตัดไปในทันที โดยที่ปล่อยให้คนอายุสี่สิบปลายๆ ยืนงงอยู่ที่เดิมต่อไปก่อนจะรีบตั้งสติแล้วโทรหาเพื่อนสนิทที่เป็นพ่อของคนที่เข้ามาก่อนหน้านี้
"ว่าไงไอ้เพื่อนรัก" แปลนรับสายทันทีที่เห็นเบอร์ของเพื่อนสนิทโทรมา ก่อนจะหันไปบอกภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาว่าขอตัวไปคุยกับเพื่อนข้างนอกก่อน
"ลูกมึงนี่มันใจเด็ดได้ใครวะไอ้แปลน"
"ทำไมวะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า"
"คืนนี้มึงออกมาคุยกับกูละกันที่ผับไอ้ทาม"
"เออๆ" หลังจากที่ตอบรับต้นสายไปแล้วและสายถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าที่ยังคงความหล่อเหลาไม่สร่างในวัยสี่สิบปลายๆ ของแปลนก็อยู่ในอาการงุนงงทันที คิ้วหนาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหนัก พยายามคิดและหาคำตอบให้ตัวเองว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ชอบทำตึงใส่เขาไปก่อเรื่องอะไรมาหรือเปล่า
"สุดหล่อของป๊าไปก่อเรื่องอะไรมาว่ะ?"