ลู่จินผิงนอนขดตัวอยู่บนพื้น อยากร้องให้คนด้านในช่วยแต่เสียงเธอมันก็ไม่มีเล็ดลอดออกมาเลย จุกขนาดนี้ใครจะไปแหกปากได้ ผู้ชายคนนี้คงตั้งใจมาจัดการเธอให้ตายแน่ ๆ
ประตูถูกปิดลงแล้ว ใจดวงน้อยเต้นตึกตักรัวเร็วกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบเชือกออกมา หรือมันคิดอำพรางคดีให้ทุกคนคิดว่าเธอผูกคอตายเอง
ร่างเล็กถูกรั้งแขนขึ้นมาเพื่อจะแบกใส่บ่า ทว่าเสียง 'ปัง’ ดังขึ้นเสียก่อน ทำให้มันทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าจินผิงทันที เธอรีบคลานออกห่างจากคนร้ายให้พ้นระยะ กลัวถูกอีกฝ่ายจับไว้เป็นตัวประกันเหมือนในหนัง ขอปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
“กล้ามากที่บุกเข้ามาในตอนที่ฉันอยู่” โจเยว่เปล่งเสียงรอดไรฟันออกมาอย่างแค้นใจ นึกไม่ถึงว่ามันจะเลือกเวลามาเอาชีวิตจินผิงเช้าขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าทุกคนกำลังวุ่นวายออกไปส่งลูกหลานที่โรงเรียน บ้างก็ออกไปทำงานตามโรงงานต่าง ๆ ซึ่งมันต้องออกเดินทางแต่เช้ามืด เลยทำให้ในซอยนี้เงียบมาก
อีกฝ่ายไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าคือใคร
“ขอโทษครับคุณชายผมไปเข้าห้องน้ำมา อีกคนก็ไปซื้ออาหารเลยไม่ทันเห็นว่ามีคนเข้าบ้าน” นายตำรวจซึ่งมีหน้าที่เฝ้ายามรีบรายงานตัว ก่อนจะช่วยกันจับคนร้ายเอาไว้
“ช่างเถอะ พาตัวไปเดี๋ยวฉันจะไปสอบสวนเอง” โบกมือไล่ทั้งคู่ ก่อนจะหันมาหาคนที่นั่งอยู่บนแคร่ “เป็นไงบ้าง”
“จุก” ตอบได้คำเดียว เพราะคนร้ายใส่เข้ามาเต็มแรง ไม่รู้กระเพาะตับม้ามเธอยังปกติดีอยู่ไหม
“งั้นไปหาหมอดีกว่าจะได้ตรวจดูให้รู้” ตรงเข้ามาตั้งท่าจะประคอง เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้
“ไม่ ๆ พักสักเดี๋ยวก็หาย” ไปโรงพยาบาลก็ต้องเสียเงินอีกสิ จินผิงนึกข้อนี้ในใจ อุตส่าห์เก็บเงินได้บ้างแล้ว ใครจะยอมเอาไปจ่ายอีก ค่ารักษาก็แพงเหลือเกิน
“แน่ใจเหรอ” ถามย้ำอีกรอบ คนตัวเล็กก็โบกมือให้
“เริ่มดีขึ้นแล้ว กินยาแก้ฟกช้ำที่หมอจ่ายมาให้ก็น่าจะไม่เป็นไร ตกลงผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ตำรวจเหรอ” เริ่มถามในสิ่งที่สงสัย
“ไม่ใช่ ไม่มีหน่วยไหนยุ่งเรื่องนี้”
“ถึงว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่เคยมีตำรวจมาถามอะไรเลย แล้วคุณพอจะรู้หรือยังว่าใครที่คิดทำร้ายฉัน” เธอเงยหน้ามองเขา และโจเยว่ก็ยังคงหน้านิ่งอ่านไม่ออกเหมือนเดิม ไม่เข้าใจเลยทำไมเขาต้องทำหน้าแบบนี้ตลอดเวลา
“ยัง ว่าแต่เธอนึกไม่ออกเลยเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” ย้อนถามบ้าง คนในงานเลี้ยงคืนนั้นมีนับร้อย ส่วนมากก็เป็นพวกสาว ๆ ที่คิดจะมาหาคู่นั่นแหละ ส่วนคนที่เข้าหาเขาก็มีมากจนนับไม่ถ้วน นึกดูแล้วก็น่าสงสัยกันทั้งนั้น
ทว่าคนที่มีอำนาจพอที่จะสั่งให้เอาชีวิตจินผิงได้ก็มีไม่กี่คนหรอกในเมืองนี้ แต่ทุกคนล้วนแต่เรียบร้อยอ่อนหวาน พวกเธอไม่น่าใช่คนใจร้ายถึงขนาดคิดเอาชีวิตคนได้
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะตัดออกไปเสียทั้งหมด ตอนนี้โจเยว่กำลังสงสัยสามสาวที่มาในวันนี้ เพราะหนึ่งในนั้นเคยส่งคนมาตามดู จินผิงแล้วหนึ่งครั้ง ทว่าเธอจะกล้าทำมันอีกหรือ ในเมื่อเขาจับได้ขนาดนั้นแล้ว ทำไมถึงกล้าสั่งคนมาลงมืออีก
จินผิงมองหน้าเขาแล้วส่ายหัว เธอจะไปรู้ได้ไงว่าใครที่ทำร้าย ในเมื่อคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดคือเจ้าของร่าง ส่วนเธอก็กลายมาเป็นแพะรับบาปที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
นิยายก็ดันมาชำรุดอ่านไม่ได้อีก ก่อนนั้นก็ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนลงมือ อย่างน้อยชื่อหรือแซ่ก็ยังดี แต่เธอก็มีคนร้ายอยู่ในใจแล้ว พอสามคนนั้นปรากฏ ก็มีคนคิดเอาชีวิตทันที
“ช่างเถอะ ถามผู้ชายคนนั้นก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว” โจเยว่ไม่คิดจะซักไซ้อีก ถ้าเธอรู้คงบอกเขาตั้งแต่วันแรกแล้ว
“คุณชายครับ คนร้ายที่เราพาไป มัน…เอ่อ…มันตายแล้วครับ” เจียหยางจอดจักรยานได้ก็รีบเข้ามารายงาน
“อะไรนะ! ทำงานกันยังไงถึงได้ปล่อยมันตายแบบนี้”
“มันกินยาตายครับตอนที่ออกไปถึงหน้าปากซอย” ต่วนหลี่เดินเข้ามารายงาน เขากลับมาทันเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เลยเข้าไปช่วยกันยื้อชีวิตคนร้ายแต่มันก็ไม่สำเร็จ
“บ้าจริง!” โจเยว่สบถออกมาอย่างแค้นใจ
“ทำไมมันถึงยอมตายแต่ไม่ยอมพูดอะไร” จินผิงพึมพำ มือก็ยังกุมท้องตัวเองไว้ เจียวหมี่เห็นแบบนั้นก็รีบตรงเข้ามาดู
“กินยาหรือยัง” ถามเสียงเครือ
“ยัง เอามาให้หน่อยสิ จุกมากเลย” เบะปากทำท่าจะร้อง พอเป็นเพื่อนถามเธอก็มีอาการงอแงเหมือนเด็กทันที และการกระทำนี้มันก็อยู่ในสายตาของโจเยว่ทุกอย่าง มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย จากอารมณ์เสียเมื่อกี๊มันกลายเป็นผ่อนคลายลงไม่รู้ตัว บรรดาลูกน้องเลยได้แต่ยืนมองพร้อมกับกะพริบตาถี่ไม่เชื่อ
“ฉันบอกแล้ว เมื่อวานคุณชายยิ้ม” จ้าวเหว่ยกระซิบบอกเพื่อนเสียงแหบ เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาคือเพ้อเจ้อ หาว่าหลับแล้วฝันบ้างล่ะ
แต่มาตอนนี้ทุกคนได้เห็นกับตาแล้วว่าเจ้านายนั้นยิ้มจริง ๆ ถึงแม้มันจะไม่มากก็เถอะ ทว่ามันนานมากแล้วที่โจเยว่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรนอกจากทำหน้าเรียบเฉย นิ่งจนเหมือนมนุษย์น้ำแข็งที่ถูกแช่เอาไว้ มันเป็นแบบนี้นับตั้งแต่น้องสาวเขาตายไปเมื่อเจ็ดปีก่อน ซึ่งมันเป็นอุบัติเหตุ
ทว่าโจเยว่เอาแต่โทษตัวเอง เขาไม่สามารถปล่อยผ่านมันได้ หากวันนั้นเขากลับเข้าบ้านเร็วไม่เถลไถล น้องสาวเพียงคนเดียวก็ไม่จมน้ำตาย เพราะปกติทั้งคู่จะลงเล่นน้ำด้วยกัน เขาจะคอยดูแลหนานหมิ่ง เธอพึ่งแปดขวบในตอนนั้น ส่วนเขาก็สิบเจ็ด
พอกลับมาก็ได้รับข่าวร้ายแล้ว น้องสาวเขาและสาวใช้ที่ลงไปช่วยไม่มีใครรอดชีวิต จากนั้นโจเยว่ก็เอาแต่โทษตัวเอง และเขาก็ไม่เข้าบ้านอีกเลยหลังงานศพผ่านไป จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เวลามีงานเลี้ยงคนในบ้านก็จะจัดที่โรงแรมแทน
ทว่าช่วงนี้เขากลับมีสีหน้าที่เริ่มต่างออกไป
“ฉันว่าพวกเธอย้ายไปอยู่บ้านใหม่วันนี้เลยดีกว่า ของใช้ก็เก็บไปแค่เสื้อผ้ากับเครื่องครัว อันไหนเก่าแล้วก็ไม่ต้องเอาไปให้รกหรอก ที่นั่นมีครบหมดแล้ว พวกนายไปจัดการเก็บของซะ” บอกแค่นั้นทั้งสามคนก็ไม่รีรอ เดินเข้าบ้านคนละห้อง
สองสาวถึงกับตาโตเมื่อได้ยิน “ดะ…เดี๋ยวของใช้ส่วนตัวฉันเก็บเองค่ะ” เจียวหมี่รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ใครมันจะยอมให้ผู้ชายไปเก็บเสื้อผ้าให้ โดยเฉพาะชุดชั้นในที่แขวนอยู่ตามราว
“บ้าอำนาจ บอกลูกน้องคุณออกมาเลยนะ” จินผิงขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกับต่อว่าเขา โจเยว่เองก็เหมือนจะนึกได้
“ขอโทษ” เขารีบเดินเข้าไปตะโกนเรียก ไม่นานหนุ่ม ๆ ก็ออกมา ยกเว้นต่วนหลี่ที่ยังช่วยเจียวหมี่เก็บของ เขาเลือกถูกห้องมาก ส่วนเจียหยางเข้าห้องจินผิง ในมือยังถือตระกร้าเสื้ออยู่เลย เจ้าของห้องหันขวับมายังตัวต้นคิดทันที
“เราจะเก็บเอง พวกคุณรอขนก็พอ ในครัวก็ว่างนะ”
ในเมื่อคิดจะอาสา เธอก็จะใช้ให้คุ้มเลย
“ได้ยินแล้วก็ไปหารถสิ ที่เหลือก็ไปเก็บของในครัว อะไรที่เก่าเกินก็ไม่ต้องเอาไป” สั่งหน้านิ่งเหมือนเคย พอหันมาหาคนตัวเล็กอีกที เธอก็เดินเข้าห้องไปแล้ว
“ฉันช่วยนะ” ถือวิสาสะเดินเข้ามาดื้อ ๆ จินผิงก็ได้แต่มองตาขวาง ดูจากท่าทางต่อให้ไล่ก็คงไม่ออกไป เพราะเขาลงมือเก็บพวกของใช้ทั่วไปใส่กล่องที่เตรียมไว้แล้ว
“คุณนี่นอกจากจะหน้านิ่งแล้วยังหน้ามึนอีกนะ” ต่อว่าไม่กลัวเขาโกรธสักนิด ซึ่งมันก็แปลกที่โจเยว่ชอบใจมากกว่าที่จินผิงเป็นแบบนี้ เพราะมันต่างจากผู้หญิงที่วิ่งเข้าหาเขา
“อยากเห็นฉันยิ้มไหมล่ะ” เขาเดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะเธอมัวแต่ก้มเก็บผ้าใส่กล่องกระดาษ พอได้ยินเสียงก็หันมาเพราะตื่นตกใจ เลยทำให้ใบหน้าปะทะกับแผงอกเขาทันที
“อ๊ะ!” เธอเอนตัวออก แต่ก็ถูกแขนแกร่งกอดรัดเอาไว้และรั้งเอวคอดจนร่างเล็กขยับเข้ามาแนบชิด
“ปะ…ปล่อยนะ คุณทำบ้าอะไรของคุณ” ต่อว่าเขาเสียงสั่น ใจเธอเต้นแรงจนมันแทบจะทะลุออกมานอกอก มือก็ยังดันอีกฝ่ายไว้ อยู่ใกล้กันแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย
“เธอไม่อยากเห็นฉันทำหน้าอย่างอื่นเหรอ” คำพูดเขามันทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง และมันก็ทำให้จินผิงต้องนิ่งไป
#อีพี่จะทำอะไรน้อง หน้านิ่งไม่พอ หน้ามึนด้วยนะเรา