ทีมงานเดินทางมาถึงหมู่บ้านก็ช่วงหัวค่ำพอดี หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางป่าโอบล้อมด้วยหุบเขา ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก มีแม่น้ำไหลผ่านหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านที่นี่คงใช้วิธีออกจากหมู่บ้านด้วยการล่องแพ ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดเวลาและรวดเร็วกว่าเดินเท้า บ้านทุกหลังใช้ใบไม้ทำเป็นหลังคาและฝาบ้าน ทุกคนดีใจแทบหายเหนื่อยเลยทีเดียว พอก้าวขาเข้าหมู่บ้านชาวบ้านก็พากันมองมาที่ทุกคนด้วยสายตาแปลกๆ
" ทำไมพวกเขามองเราแบบนั้นวะ"
" ก็คงเห็นว่าพวกเราเป็นคนแปลกหน้าล่ะมั้ง"
" แต่ฉันว่าสายตามันดูแปลกๆอ่ะ หวังว่าหมู่บ้านนี้คงจะไม่ใช่แบบหมู่บ้านกินคนหรอกนะ"
ได้ฟังดุษฎีพูดทุกคนก็ลังเลที่จะเดินต่อ ดารินกับโมรีขยับเข้าหากันจับมือกันแน่นสายตามองดูรอบๆตัวด้วยความหวาดระแวง
" เฮ้ยไอ้กรุ๊ป มึงแน่ใจนะว่าพาพวกเรามาถูกหมู่บ้านหน่ะ "
ภาสกรที่เดินนำหน้าเข้าหมู่บ้านพร้อมดุษฎีถอยหลังกลับไปถามกิตติศักดิ์
" ไม่ผิด ที่นี่แหละกูมาตามแผนที่ที่ศาสตราจารย์ให้มาเลย "
" ศาสตราจารย์ได้บอกไหมว่าแถวนี้มันมีกี่หมู่บ้าน เราอาจจะมาผิดหมู่บ้านก็ได้นะ"
ดารินถามขึ้นมา
" ไม่ได้ถาม แต่ถึงยังไงเราก็มาถึงที่นี่แล้วถึงต่อให้ผิดยังไง คืนนี้เราก็คงต้องพักที่นี่ทุกคนดูสินี่มันค่ำแล้วนะ เราไปต่อไม่ได้แล้ว"
" งั้นเราก็ลองชาวบ้านแถวนี้ดูว่าใช่ไหม"
ธารธาราพูดจบ ก็เดินเข้าไปหาชาวบ้านคนหนึ่งที่นั่งจ้องมองพวกเขาอยู่ กิตติศักดิ์กลัวว่าธารธาราจะมีอันตรายจึงรีบเดินตามไปด้วย
" ป้าคะ ที่นี่ใช่หมู่บ้านปะละทะไหมคะ"
" _ "
เงียบไม่มีคำตอบ กิตติศักดิ์จึงถามใหม่
" คือพวกเราจะไปที่หมู่บ้านปะละทะหน่ะครับ ไปบ้านของพรานมูเล่"
พอได้ยินชื่อมูเล่ หญิงวัยกลางคนก็พยักหน้าชี้มือไปอีกทาง
" ตกลงป้าคนนั้นว่าไงเรามาถูกใช่ไหม"
ดุษฎีถามรอลุ้นคำตอบเหมือนกับทุกคน
" เขาฟังเราไม่ออก"
" อ้าว"
"แต่พอพูดชื่อพรานมูเล่เขาก็ชี้มือบอกทางอย่างที่เห็น ไปกันเถอะ"
" เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน ไอ้กรุ๊ปในเมื่อเขาฟังเราไม่ออกแล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่เขาชี้หน่ะเป็นทางไปบ้านพรานมูเล่"
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างเห็นด้วยกับคำพูดของภาสกร
" เราคงต้องเสี่ยงดู ไปเถอะ เดี๋ยวไปหาถามคนข้างหน้าก็ได้ ต้องมีสักคนนึงแหละที่ฟังภาษาเราออก"
กิตติศักดิ์เดินนำหน้าทุกคนไป ตลอดทางก็ถามชาวบ้านคนนั้นคนนี้ แม้พวกเขาจะฟังไม่ออก แต่พอพูดชื่อพรานมูเล่กลับชี้มือบอกทางกันทุกคน จนมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังเล่นอยู่
" หนู หนูจ๊ะ ที่นี่ใช่บ้านพรานมูเล่ไหม"
เด็กน้อยไม่ตอบแต่รีบวิ่งขึ้นบ้าน
" อ้าวหนู เดี๋ยวก่อนสิ พี่ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อยหนูกลับมาก่อน"
สักพักหญิงคนหนึ่งก็ออกมาจากบ้าน ส่วนเด็กชายคนนั้นได้แต่โผล่หัวออกมามองอยู่ที่หลังประตู
" คือพวกเรามาจากกรุงเทพนะครับ มาหาพรานมูเล่ ที่นี่ใช่บ้านพรานมูเล่มั๊ย"
หญิงคนนั้นพูดภาษากาเหรี่ยง ที่ทุกคนก็ฟังไม่ออกว่าหมายความว่ายังไง ในขณะที่ทุกคนกำลังยืนงงกันอยู่นั้น ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
" พ่อของข้าไม่อยู่"
" อ่าห้า นี่ไงเราเจอคนที่พูดภาษาเราได้แล้ว"
" คืองี้นะ เรามาตามหาพรานมูเล่ ที่นี่คือบ้านของพรานมูเล่ใช่ไหม"
" ใช่ ต้องการเจอเขาทำไม"
" พวกเราต้องการให้พรานมูเล่นำทาง"
" เอ่อ พวกเรามาตามคำแนะนำของศาสตราจารย์ ท่านเป็นเพื่อนกับพรานมูเล่"
" พ่อข้าไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนเมือง"
" อะ อ๋อ แต่ แต่ว่าศาสตราจารย์บอก หรือว่าศาสตราจารย์โกหกพวกเราวะ"
" ศาสตราจารย์ไม่น่าจะโกหกนะ ถ้าไม่รู้จักจริงๆจะบอกให้เรามาที่นี่ถูกได้ไง"
" ไว้พ่อของข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ค่ำแล้วพวกเอ็งก็พักที่นี่ละกัน"
" ได้ๆ ขอบคุณมาก ว่าแต่พรานมูเล่จะกลับมาตอนไหนเหรอ"
" พรุ่งนี้ "
" แล้วคุณชื่ออะไร เอ่อ เราจะได้เรียกถูก"
" เซโพ นั่นนอนายเมียของข้า แล้วก็ซำซาลูกชายข้า"
เซโพหันไปคุยกับลูกเมียก่อนจะกวักมือเรียกทุกคนขึ้นไปบนบ้าน นอนายยกสำรับข้าวมาวางทำมือบอกให้ทุกคนกิน
" กินข้าวกันก่อน ที่นี่มีแต่อาหารธรรมดาง่ายๆคงกินกันได้ กินเสร็จแล้วใครอยากอาบน้ำก็นู่นเลย"
ทุกคนมองตามที่เซโพชี้มือ
" ไหนอ่ะห้องน้ำ"
" ไม่มี ที่นี่ทุกคนอาบน้ำในแม่น้ำ ทั้งกินทั้งอาบทั้งซักผ้า ถ้าใครปวดหนักเบาก็เข้าป่าเลือกมุมตามใจชอบ"
" รีบกินเถอะจะได้รีบไปอาบน้ำ"
กินข้าวเสร็จซำซาก็ส่งตะเกียงให้1อันส่วนเด็กชายถือไว้1อันเดินนำหน้าไปที่แม่น้ำ หลังอาบน้ำเสร็จขึ้นบ้านมาก็เห็นว่านอนายใช้ผ้าบางๆปูไว้เตรียมให้เป็นที่นอนของทุกคน เซโพผายมือบอกและพูดขึ้น
" นอนเบียดๆกันหน่อยนะ บ้านหลังเล็ก หรือถ้าใครอยากนอนสบายจะลงไปนอนนอกบ้านก็ได้"
" พวกเรานอนได้ขอบคุณมาก"
ธารธาราพูดแล้วหันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาขนมสองสามห่อส่งให้ซำซา
" รับไปสิพี่ให้ขนมอร่อยนะ"
ซำซาแหงนมองดูหน้าผู้เป็นพ่อ เมื่อเซโพพยักหน้าก็รีบวิ่งไปคว้าขนมในมือของธารธารา
" อ้อ ถ้าไม่จำเป็นอย่าออกจากบ้านตอนกลางคืน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก "
" เดี๋ยวก่อน แล้วถ้าเกิดปวดท้องขึ้นมากลางดึกหล่ะ"
ดารินถามขึ้นมา เธอยิ่งชอบปวดฉี่ตอนกลางคืนบ่อยๆอยู่ เซโพที่กำลังจะเดินไปหันกลับมาตอบ
" หน้าบ้านมีตะเกียงแขวนไว้อยู่หยิบมันไปส่องทางได้ ขอเตือนว่าอย่าไปคนเดียวให้หาเพื่อนไปด้วย"
ดารินพยักหน้าหงึกๆ ใครจะกล้าไปคนเดียวกันเล่า ยิ่งกลางป่ากลางเขาแบบนี้ด้วยน่ากลัวจะตาย
พอหัวถึงหมอนดุษฎีกับภาสกรก็หลับเป็นตาย กิตติศักดิ์กำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงหมาหอนไม่หยุด เขาผุดลุกขึ้นเห็นเพื่อนสองคนหลับไม่กระดิก มองดูธารธารา แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องมาเห็นว่าเธอนอนลืมตาอยู่ เขาย่องเบาๆไปหาเธอ
" น้ำ น้ำ"
" พี่กรุ๊ป"
" นอนไม่หลับเหรอ"
" อืม คงแปลกที่หน่ะ "
" พี่ก็เหมือนกัน ยิ่งเสียงหมาหอนด้วยเลยไม่หลับเลย"
" พี่คงไม่คิดว่าหมาหอนมันจะเห็นผีหรอกใช่ไหม"
" ฮ่าฮ่า ก็คิดอยู่นะ แต่ที่นี่คงไม่มีหรอกมั้ง"
โมรีนอนฟังทั้งสองสนทนากันเงียบๆ เธอเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ได้ยินเสียงหมาหอนก็ยิ่งกลัวจนนอนไม่หลับ ได้แต่ข่มความกลัวด้วยการนอนนิ่งๆ ดารินลืมตาขึ้นมาสบตากับโมรี บวกกับเสียงหมาหอนที่ดังต่อเนื่องต่างคนต่างตกใจสะดุ้งลุกขึ้นมา
" แก แกเองเหรอ"
" ก็ฉันหน่ะสิแกคิดว่าใครหล่ะ"
บรู้ววววว
" เสียงหมาหอน ทำไมมันต้องมาหอนตอนนี้ด้วยเนี่ย จริงสิวันนี้มันวันพระด้วยนะ "
" คงไม่ใช่มันเห็นผีหรอกใช่ไหม"
" ไม่มีหรอก มันก็หอนไปตามเรื่องตามราวมันนั่นแหละไม่ต้องกลัว ผีเผอที่ไหนจะมี"
กิตติศักดิ์พูดปลอบใจทั้งที่ในใจของเขาก็กลัวเหมือนกัน