ตอนที่ 9
เสียงครวญจากทิศหัวนอน
ย่างเข้าวันที่สี่ของการโดนบริกรรมคาถาถอดถอนพิษคุณไสย์ดำจากร่าง ในเช้าวันนี้ ภพ ตื่นขึ้นมาในตอนสาย เมื่อรู้สึกได้ถึงแสงแดดอ่อนๆที่ทอดผ่านมาทางหน้าต่างห้องพระ กระทบยังฟูกนอนกลางห้อง เปลือกตาหนาของชายหนุ่มกระพริบเล็กน้อย ก่อนจะค่อยปรือตาขึ้น แล้วพยายามพยุงกายลุกนั่ง
ความหนักอึ้งในกายและเสียงหลอนๆก้องในหู เหมือนจะเริ่มเลือนหายไป ทำให้เขาสะบัดศรีษะไปมาคล้ายรู้สึกโล่งเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่ประตูบานไม้จะเปิดเข้ามา พร้อมร่างสูงโปร่งของ พ่อครูไกรศร
“เป็นอย่างไรบ้างวันนี้ รู้สึกโล่งหัวขึ้นมั้ย?”
ไกรศร เอ่ยถามเบาๆ ขณะเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบานในห้องให้อากาศปลอดโปร่ง แล้วนั่งย่อกายลงนั่งกับพื้นเรือน
“ดีขึ้นมากเลยพ่อครู เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยทีเดียว”
ภพ ตอบตามที่ใจตัวเองคิด พลางเหยียดแขนขา สะบัดไปมา และเหลือบมองพ่อครูที่เข้าไปก้มกราบพระพร้อมพึมพำบทสวดบางอย่าง แล้วหันมามองเขา
“อีกวันสองวัน ก็น่าจะกลับได้ละ ช่วงนี้ฉันจะฝังว่านกันคุณไสย์ไว้ที่กรามด้านใน และห้อยตระกรุดกันปอบไว้ด้วย คาดว่าต่อจากนี้คงไม่มีใครเอาของใส่คุณภพได้อีก”
“ขอบคุณมากเลยพ่อครู บุญคุณนี้ผมจะไม่มีวันเลยจริงๆ ที่ผ่านมาผมทรมานมากๆเลย” ภพ ก้มลงไหว้พ่อครูด้วยความเคารพในใจอย่างแท้จริง ก่อนจะเงยหน้ามาถามด้วยความฉงน
“ว่าแต่ว่า พ่อครูคิดว่าใครทำของใส่ผมและเขาจะแบบนั้นเพื่อเหตุใด”
แววตาคู่สีนิลของ พ่อครูคล้ายจะครุ่นคิดเล็กน้อย
“แล้วคุณภพคิดว่าเป็นใครละในช่วงที่ผ่านมา สังเกตว่าจิตตนเป็นเช่นใด ยังฝักใฝ่ในผู้นั้นหรือไม่ หากตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นกับผู้นั้น ก็แสดงว่าเป็นคนนั้นแหละที่ทำใส่”
คำบอกนั้น ทำให้ ภพ ตาเบิกโตขึ้นมาทันที
“วิไล!!”
เมื่อจิตสงบและโล่งแล้ว ความกระจ่างชัดในใจก็ปรากฏ นั่นทำให้ ภพ รู้สึกขนลุกและผะอืดผะอมอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเรือนร่างที่แสนจะเย้ายวนนั้น ที่ตอนนี้เขาแทบจะไม่อยากจะแตะต้องเลยแม้แต่น้อย
ความคิดและความรู้สึกของคนช่างแสนประหลาดนัก
บทจะหลุ่มหลงก็มองสิ่งนั้นมีค่าราวกับชีวิตจะขาดใจเสียให้ได้หากไม่ได้เชยชม บทจะรังเกียจก็เดียดฉันท์จนเหมือนสิ่งนั้นเป็นสิ่งปฎิกูลที่แสนน่ารังเกียจ
จิตใจมนุษย์ชั่งซับซ้อนนัก...
“ทานมื้อเช้ากันก่อนเถิดคุณภพ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
ไกรศร เอ่ยขึ้น เมื่อได้ยินฝีเท้าของไอ้กล้า และจำปา เดินยกสำรับขึ้นเรือนมา พร้อมกลิ่นหอมฉุยของอาหารที่เพิ่งปรุงสุกใหม่โชยมาแตะจมูก จน ภพ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหิว และลุกเดินตามพ่อครูออกมาด้านนอกชาน
“กินมื้อเช้ากันก่อนจ้ะ วันนี้มีปลาช่อนนึ่งขมิ้นกับต้มยำไก่บ้านรสแซ่บ ซดสักหน่อยร้อนๆจะได้คล่องคอ”
จำปา เอ่ยเสียงหวาน เมื่อเห็นพ่อครูกับภพ เดินออกมาจากห้องพระ และสังเกตว่าสีหน้าของทายาทโรงสีดูสดใสขึ้น ต่างจากวันแรกที่มาที่นี่ นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกเบาใจขึ้นพอสมควร
อย่างน้อยก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ไม่ให้ของดำดูดกลืนกินวิญญานภายในของเขาจนสิ้นลม ดั่งเช่นผัวของยายสาย
“แล้วจำปี ไปไหนรึ?”
ภพ เอ่ยถามเบาๆ เมื่อไม่เห็นร่างบางของเด็กสาวรุ่น เดินยกสำรับขึ้นมาดั่งเช่นทุกครั้ง ด้วยหวังว่าจะได้เห็นหน้ารูปใข่ที่มีรอยยิ้มสดใสให้เขาชื่นใจ
“จำปี กำลังสาวเส้นไหมด้านล่างกับสร้อยอยู่จ้ะ วันนี้หม่อนพร้อมสาวแล้ว อาจจะวุ่นนิดหนึ่ง เดี๋ยวช่วงสายๆคุณภพ จะลงไปเดินเล่นรอบเรือนก็ได้จ้ะ จะได้ไม่อุดอู้เกินไป”
จำปา หันมาบอกเขา ด้วยพอทราบจากพ่อครูว่า ยังไง ภพ ต้องอยู่บำเพ็ญจิตที่เรือนต่ออีกสองสามวัน เพื่อทำพิธีฝังว่าน แม้อาการของเขาจะดีขึ้นมากแล้วก็ตาม
“อ้อ”
ภพ พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะย่อกายนั่งลงจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหย หลังจากที่กินไม่ได้เต็มที่มาหลายวัน และวันนี้เขารู้สึกว่าอาหารตรงหน้าแสนหอมกรุ่นยั่วกระเพาะดีแท้
พ่อครูไกรศร กับจำปา จึงได้แต่มองหน้ากัน และแอบยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นภพ จัดการกับสำรับอย่างเอร็ดอร่อย มือขาวของจำปา จึงเอื้อมตักพุงปลาชิ้นใหญ่ให้กับผัวตน
“พี่เองก็กินเยอะๆนะ ฉันปรุงเองกับมือ”
ไกรศร ยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นกริยาของเมีย ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยใจแค่ไหน แค่เห็นหน้าสดใสและรอยยิ้มของเธออยู่ข้าง ความเมื่อยล้าก็แทบมลายหายไปจนหมดสิ้น
“เมียพี่ปรุงเอง เช่นนั้นพี่คงต้องกินข้าวหมดหม้อกระมัง”
มื้อเช้าที่แสนอร่อยของชายหนุ่มทั้งสองจึงเริ่มขึ้น ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน คนหนึ่งโล่งใจที่สติและร่างกายตนกลับมาปกติได้สัมผัสความหอมกรุ่นของอาหารอีกครั้ง
ส่วนอีกคนอาหารอร่อย เพราะมีเมียแสนรักคอยเอาใจ
.
.
“เห็นว่าสัปดาห์หน้าจะมีการลงเสาเอก วังช้างพลายของเมืองสุรินทร์ พ่อครูต้องไปทำพิธีใช่หรือไม่?”
ภพ เอ่ยถาม เมื่อจัดการมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งจิบชาใบหม่อนอุ่นๆ อยู่ตรงชานเรือน
“ใช่” พ่อครูพยักหน้า “ต้องรีบไปทำพิธีให้เสร็จ เพราะปลายเดือนหน้าข้าต้องเข้าจำวรุษ(การจำศีลของผู้มีคาถาอาคมหรือนักบวช)”
ไกรศร ตอบด้วยแววตาครุ่นคิด เมื่อถึงภารกิจใหญ่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่า สำหรับการทำพิธีใหญ่ของจังหวัด ด้วยนอกจากจะทำสายขาวแล้ว เขาเองยังเป็นหมอช้างพลายอีกด้วย และการทำพิธีนี้เขาต้องไปค้างยังจวนผู้ว่าหลายคืน และไม่ข้องเกี่ยวกับอบายมุข และอิสตรีจนกว่าพิธีจะเสร็จสิ้น
อาจทำให้เขาห่างจาก จำปา สักพัก
นั่นจึงเป็นสิ่งที่เขากังวลเล็กน้อย เพราะช่วงนี้เหมือนฤทธิ์ปอบเชื้อที่วนรอบร่างของ วิไล เหมือนจะเริ่มเหิมเกริมขึ้นทีละนิด แม้เขาจะค่อนข้างวางคาถาอาคมไว้รอบบ้านเป็นอย่างดีเพียงใดก็ตาม แต่ก็อดห่วงเมียรักไม่ได้
“ข้าจะคอยแวะเวียนมาที่เรือนบ่อยๆ อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย” ภพ เอ่ยบอกคล้ายจะอ่านความคิดของพ่อครูออก
“จริงๆ คนงานและผีพรายข้ากับผีเรือนก็อยู่ คงไม่มีเหตุใด ข้าแค่กังวลไปเอง เพราะจำปาเขาไม่ค่อยจะอยู่สุขเท่าใด เดี๋ยวทำนู่นนี่นั่น แต่จิตของจำปาบริสุทธิ์และแข็งแกร่งนัก ยากที่สัมภเวสีจะทำอันใดได้ ...จำปีหลานสาวก็เช่นกัน”
จิตที่บริสุทธิ์เช่นนั้นรึ? ..ภพ เองก็สัมผัสได้เช่นกัน
“พ่อครูๆ อยู่รึไม่?”
เสียงตะโกนอยู่ด้านล่าง ทำให้ ไกรศร เหยียดกายลุกขึ้นมายังชานเรือน และเห็นครูใหญ่เกรียง พ่อของสวยยืนเรียกอยู่ด้านล่างอย่างร้อนรน
“มีอะไรรึครูใหญ่”
“ช่วยไปที่บ้านข้าได้รึไม่พ่อครู เมื่อคืนนี้ครูประทินครูใหม่ของที่นี่ โดยผีที่บ้านพักหลอกจนจับใข้หัวโกร๋นเลย ฉันให้มาพักที่บ้านชั่วคราว เพราะเขาไม่อยากนอนที่บ้านพักครูหลังโรงเรียน แต่อาการยังไม่ดีขึ้นเลย ช่วยไปดูให้หน่อยได้หรือไม่”
ครูใหญ่เกรียงบอกด้วยเสียงละล่ำละลัก ทำให้ สร้อยกับจำปาที่นั่งทอไหมอยุ่ด้านล่างได้แต่มองหน้ากัน ก่อนไอ้กล้า จะเดินมากระซิบใกล้ๆ
“ก็บอกแล้วบ้านพักครูหลังนั้น มันเป็นป่าช้าเก่าแถมตอนนี้ พวกหมอตำแยเถื่อนมันก็ชอบเอาศพเด็กที่ขายไม่ได้มาทิ้งตรงนั้น ศพไหนที่ตรงลักษณะมันก็เอาไปขายให้พวกจอมขมังเวทย์เขมรไป”
“นั่นซิ เห็นบอกว่าจะรื้อบ้านพักหลังนั้น เหตุใดไม่เห็นจะรื้อเสียที” สร้อยกระซิบบอกเบาๆ
ด้วยกิติศัพท์ความเหี้ยนของบ้านพักครูสีเลือดนั้นกระฉ่อนมานาน จนไม่มีครูคนไหนสามารถจะมาอยู่ได้ และทุกคืนชาวบ้านในหมู่บ้านมักจะได้ยินเสียงร้องให้คร่ำครวญมาจาก
ทิศหัวนอน(ทิศเหนือ ชาวอีสานดั้งเดิมเรียกทิศหัวนอน เพราะเวลานอนจะหันไปทางทิศเหนือ ส่วนทิศใต้จะเรียกว่าทิศปลายตีน)
“ไอ้พวกทำแท้งเถื่อนนี่นะมันทำปาบกรรมเสียจริง” ครูใหญ่เกรียงบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเห็นร่างสูงโปร่ง เดินลงจากเรือนใหญ่พร้อมย่ามและขันน้ำมนต์ในมือ
“เดือนหน้าข้าอยากให้ครูใหญ่ประสานกับที่วัดมาทำพิธีสวดใหญ่ให้วิญญานเด็กที่น่าสงสารพวกนั้นด้วย และก็แจ้งไปทางกรมว่าขอบ้านพักครูหลังใหม่ซะ”
ไกรศร เอ่ยบอกเมื่อลงมาด้านล่างแล้ว ครูใหญ่เกรียงผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
“ไอ้พวกผู้หญิงที่ทำแท้งนี่ก็เหลือเกิน ใจมันทำด้วยอะไร”
ครูใหญ่บ่นอย่างหัวเสีย .....หารู้ไม่ว่าผู้หญิงที่ว่านั้นอาจจะมีลูกสาวของตนรวมอยู่ด้วย และ สวย กำลังจะไปทำแท้งกับหมอตำแยเถื่อน
*******************