“จากผลการตรวจทั้งหมด ไม่พบสิ่งผิดปกติเลยครับ”
ประโยคที่ชินหูทำให้ความหวังอันน้อยนิดถูกดับวูบลงราวกับเปลวเทียนที่ถูกลมพัด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผลการตรวจดวงตาออกมาเป็นเช่นนี้ แต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาไม่มีโรงพยาบาลไหนสามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการที่สายตาฉันพร่าเบลอและเริ่มมืดมัวหนักไปทุกวัน ๆ ได้เลย หรือว่าฉันต้องกลายเป็นคนตาบอดแล้วจริง ๆ
“เป็นไปได้ยังไง! ตอนนี้ลูกสาวผมมองแทบไม่เห็นอยู่แล้ว”
ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างกันลุกพรวดขึ้นด้วยความเดือดดาลทำเอาฉันสะดุ้ง รีบควานมือแตะคว้าแขนผู้เป็นพ่อไว้ และได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยกมือขึ้นชี้หน้าคุณหมออยู่
“พะ พ่อคะ ใจเย็น ๆ ก่อน”
“ขอโทษจริง ๆ นะครับคุณคมเดช ทางเราพยายามสุดความสามารถแล้ว”
ผู้ชายตรงหน้าเริ่มเสียงสั่นด้วยความประหม่า นั่นคงเป็นเพราะผู้ชายที่กำลังเดือดดาลนั้นมีผลต่อการอนุมัติงบประมาณรายปีของโรงพยาบาลในจังหวัดนี้
“ถ้าหาสาเหตุไม่ได้ก็ไม่ต้องหา! เอาดวงตาคู่ใหม่มาเปลี่ยนให้ลูกผมได้เลย”
“ทำอย่างนั้นอาจจะยิ่งเสี่ยงนะครับ ทางที่ดีผมว่าควรรอ...”
“รออะไรอีก! ผมให้เวลากับโรงพยาบาลที่นี่มานานเกินไปแล้วนะ ถ้าเทียบกับที่อื่นฉันถือว่าคุณได้สิทธิ์มากกว่าที่ไหน ๆ แล้ว น่าผิดหวังจริง ๆ”
ปกติแม่ฉันจะใจเย็นและคอยห้ามปรามในตอนที่พ่อไม่อาจควบคุมสติได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทั้งคู่จะกำลังเดือดเป็นไฟ ฉันจึงไม่รู้ว่าควรที่จะหันไปปรามใครก่อน
“ได้! ถ้าที่นี่มันไร้ศักยภาพ ผมไปที่อื่นก็ได้ แล้วอย่าหวังว่าปีหน้าจะได้รับการอนุมัติอะไรจากผมอีก”
พูดจบฉันก็ถูกเคลื่อนตัวออกมาจากห้องด้วยเก้าอี้วิลแชร์ โดยมีคุณพ่อช่วยเข็น ตามมาด้วยเสียงวิงวอนอ้อนขอโอกาสไล่หลัง แต่นาทีนี้ทั้งพ่อและแม่คงไม่มีใครใจเย็นพอที่จะยืนฟังแล้ว
“ไม่เป็นไรนะลูก ถ้าที่นี่รักษาไม่ได้ เราก็ไปที่อื่นกัน”
ผู้หญิงที่เดินประกบข้างเอื้อมมือมาแตะสัมผัสที่หัวไหล่เพื่อปลอบใจ ฉันจึงเอื้อมมือทาบทับหลังมือของเธออย่างแผ่วเบา
“แม่ร้องไห้อยู่หรือเปล่าคะ”
“ไม่เลยลูก”
อีกฝ่ายพยายามระงับเสียงสะอื้นแล้วตอบกลับมา ทว่ามันกลับไม่ได้แนบเนียนมากขนาดที่จะจับไม่ได้ หรือจริง ๆ แล้วฉันอาจจะเคยชินกับการจำน้ำเสียงมากกว่าการมองดู จึงทำให้แยกแยะน้ำเสียงได้ชัดกว่าปกติ
หนึ่งปีเต็มแล้วสินะที่ฉันตกมาอยู่ในสภาพนี้ อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนตาบอดโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่มีแม้แต่เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกเจ็บและนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่นี้ อยู่ ๆ ก็แค่ระคายเคืองและเจ็บแปลบ ๆ แต่ผ่านไปเพียงแค่สามคืนดวงตาก็เริ่มพร่ามัว และหนักถึงขนาดที่เบลอจนไม่สามารถมองเห็นรูปร่างที่อยู่ตรงหน้าได้ เห็นแค่เพียงสีจาง ๆ ที่เลือนราง
หนึ่งปีที่ผ่านมาฉันก็พยายามปลอบใจตัวเองตลอด บอกตัวเองให้สู้ และสักวันมันจะต้องหาย แต่นับวันความหวังอันน้อยนิดก็มอดดับลง จนกลายเป็นความปลงในที่สุด ทั้งที่ชีวิตของฉันกำลังจะไปได้ดีแท้ ๆ ฉันกำลังเข้าพิธีหมั้นกับลูกชายเพื่อนสนิทพ่อ ที่มีพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ และทัศนคติ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เขาถึงไม่มาเยี่ยมฉันบ้างเลย จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เขามาหาคือช่วงที่ฉันเข้ารับการรักษาใหม่ ๆ ถ้าให้นับดูแล้วก็เกือบสิบเดือนเลยนะ ก็คงอย่างว่านั่นแหละ ใครจะอยากมีภรรยาตาบอด รวยแค่ไหนก็คงไม่อยากหาภาระใส่ตัวเองหรอก...
“อ้าว คุณคมเดชสวัสดีครับ”
วิลแชร์ที่ฉันนั่งถูกหยุดกะทันหัน ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของใครบางคนเดินเข้ามาชิด ถ้าให้ฉันเดา เขาคงเป็นลุงหมาน คนขับรถเก่าที่เพิ่งย้ายออกไปเมื่อสองปีก่อนเพื่อเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่บ้านเกิด
“อ้าว ไปไงมาไงถึงได้มาโผล่นี่ล่ะหมาน”
พ่อเอ่ยทักทายลูกน้องเก่าด้วยความสนิทสนม ฉันจึงรีบยกมือขึ้นสวัสดีอีกฝ่ายแม้มองไม่เห็นหน้า และถ้าให้เดาอีกฝ่ายต้องรีบยกมือขึ้นมารับไหว้แทบไม่ทันแน่
“ผมมาเยี่ยมหลานน่ะครับ มันทำงานเป็นคนส่งของอยู่ที่นี่ ว่าแต่คุณหนูเป็นอะไรเหรอครับ”
เขารีบถามกลับด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าฉันกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้วิลแชร์ พร้อมทั้งมีผ้าก๊อซสีขาวพันรอบดวงตาเอาไว้จนสนิท
“เฮ้ออ พูดแล้วก็หนักใจ อยู่ ๆ มินตราก็รู้สึกเจ็บที่ตา ผ่านไปไม่ถึงสามวันมันก็มัวจนมองไม่เห็น นี่ก็ครบปีแล้ว ยังไม่มีหมอที่ไหนหาสาเหตุได้เลย”
“ฮะ!”
ลุงหมานตกใจจนอุทานเสียงหลง คงคิดไม่ถึงว่าคนที่มีเงินหนากระเป๋าอย่างพ่อต้องมาจนปัญญาเพราะไม่มีใครสามารถรักษาดวงตาให้ลูกสาวได้
“อยู่ ๆ ก็เป็นเลยเหรอ ไม่ได้มีอะไรเข้าตาหรือไปกระแทกอะไรนะคุณหนู”
“ใช่ค่ะ อยู่ ๆ ก็เป็นเลย”
คนได้ฟังนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ไม่มีใครเคยถามฉันมาก่อน
“แล้วก่อนที่จะเกิดเรื่อง ได้ฝันอะไรแปลก ๆ บ้างไหม”
“ฝันเหรอคะ?”
อันที่จริงฉันก็จำเหตุการณ์นั้นได้แม่น เพียงแค่ไม่กล้าเอ่ยพูดให้ใครฟัง เกรงว่าคนรอบข้างจะมองเป็นเรื่องงมงายไป
“เอ่อ... กะ ก็มีฝันอยู่ค่ะ ฝันแปลก ๆ ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกเจ็บที่ตา หนูฝันว่าตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งคลานออกมาจากมุมมืดด้านหลัง แล้วเขาก็ควักดวงตาหนูออกไปทั้งสองข้าง”
“หือ? จริงเหรอ ทำไมลูกไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลยล่ะ”
ผู้เป็นแม่ที่เงียบไปนานรีบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ
“ก็หนูคิดว่ามันเป็นแค่ความฝันน่ะค่ะ เลยไม่ได้ใส่ใจ”
“โอ๊ยน้อ! คือปล่อยไว้ดนแท้ล่ะ แนวนี่สิทันบ่” (โอ๊ย! ทำไมปล่อยไว้นานขนาดนี้ แบบนี้จะรักษาทันไหม)
ลุงหมานถึงกับหลุดอุทานเป็นภาษาถิ่น เดาจากน้ำเสียงอีกฝ่ายคงกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความหนักใจไม่แพ้พ่อกับแม่ของฉันเลย
“อย่าหาว่างมงายเลยนะครับคุณคมเดช แต่ถ้าพึ่งวิทยาศาสตร์แล้วมันไม่ได้เรื่อง เราลองหันไปพึ่งไสยศาสตร์ดูไหมครับ”
“ไสยศาสตร์เหรอ”
พ่อทวนคำพูดก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เดาไม่ออกเลยว่าเขามีสีหน้ายังไงกับสิ่งนี้ เพราะปกติพ่อไม่เชื่อเรื่องแบบนี้เลย เขาแทบจะไม่กลัวผีด้วยซ้ำ
“มีที่ไหนพอจะแนะนำไหม”
คำถามจากปากพ่อทำให้ฉันกับแม่งุนงงไปตาม ๆ กัน นี่เขาจะพาฉันเข้ารับการรักษาทางไสยศาสตร์จริง ๆ เหรอเนี่ย
“มันก็พอมีอยู่ครับ แต่ต้องกลับไปที่บ้านเกิดผมเลย จังหวัดสกลฯ แถว ๆ ภูพานนั่นแหละ แกชื่อตาพวง แต่ช่วงหลังเห็นแกป่วยออด ๆ แอด ๆ ไม่รู้ว่าวางมือไปหรือยัง ต้องลองไปหาแกดูก่อน ให้แกประเมินอาการ”
พ่อไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเพียงเดินอ้อมมาหยุดอยู่ด้านหน้าฉันพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งยอง ๆ ต่อหน้า
“อยากลองไปดูไหมลูก”
เส้นทางการรักษาของฉันตอนนี้มันก็มืดบอดไม่ได้ต่างไปจากดวงตาเลยสักนิด ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียหาย การลองดูสักตั้งก็ไม่น่าจะใช่เรื่องผิด ใครจะรู้ รักษามาเกือบสิบที่ ฉันอาจจะหายที่น้ำมนต์พ่อหมอก็ได้
“ลองดูก็ได้ค่ะ”
หวังว่านี่จะเป็นการรักษาครั้งสุดท้าย ขอให้หาสาเหตุเจอ และแก้มันได้ทีเถิด ถึงแม้ฉันจะรู้สึกปลงและทำใจได้บ้างแล้ว แต่ความหวังลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในอก ฉันก็ยังอยากกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง กลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิมที่อ่านยังไม่จบ กลับมามองท้องฟ้าที่สีไม่ซ้ำกันเลยสักวัน และกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติ โดยที่ไม่ต้องเป็นภาระใครเหมือนดังเช่นตอนนี้...