ในพื้นที่ของตาพวง

1813 คำ
“มึงสิออกดี ๆ บ่!” (มึงจะออกดี ๆ ไหม) ไม้หวายด้ามเรียวยาวฟาดลงผ่านอากาศกระทบแผ่นหลังของหญิงวัยกลางคนจนเนื้อแตก ก่อนที่เสียงกรีดร้องอันโหยหวนจะดังสนั่นคับบ้านไม้หลังเล็ก มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามามุงดูเหตุการณ์อย่างลุ้นระทึก แต่ไม่มีใครกล้าย่างก้าวเข้ามาช่วยเหลือ นั่นเป็นเพราะตอนนี้ผู้หญิงที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงกำลังจะถูกครอบงำด้วยผีปอบ ทางเดียวที่จะรอดพ้นคือต้องเฆี่ยนตีด้วยหวายอาคมและทารุณอย่างสาหัส รอกระทั่งมันอดรนทนไม่ไหว แล้วยอมทิ้งร่างออกมาเอง “ฮึก! ฮืออ กูบ่ออก” (กูไม่ออก) เสียงสะอื้นไห้ด้วยความทุรนทุรายสร้างความสงสารและเวทนา แต่ผมไม่อาจปล่อยผ่านได้ หากยอมให้มันได้สิงร่างผู้หญิงคนนี้ต่อ ในไม่ช้าเธอต้องกลายเป็นผีเร่ร่อนอย่างแน่แท้ “มึงนี่มันหยาบมันมึนอิหลี” (มึงนี่มันดื้อจริง ๆ) ผมผ่อนลมหายใจยาวเหยียดเพื่อไล่ความหงุดหงิด เบื่อที่สุดคือการไล่ผีปอบนี่แหละ หากเป็นผีเร่ร่อนทั่วไปยังพอจะเกลี้ยกล่อมได้บ้าง แต่ขึ้นชื่อว่าปอบ ต่อให้ตีจนเนื้อไหม้มันก็ยังคงปากดีได้อยู่ “คันเว่าดี ๆ บ่ฟัง มึงสิได้เห็นดี” (ถ้าพูดดี ๆ ไม่ฟัง มึงจะได้เห็นดี) ไม้หวายถูกยื่นส่งให้กับตาพวง ผู้ชายแก่หนังเหี่ยวยานที่เรือนร่างเต็มไปด้วยยันต์ลงอาคม ผมสีดอกเลาขาวโพลนไปทั่วทั้งศีรษะ บ่งบอกถึงความน่าเกรงขามและการผ่านช่วงอายุมาอย่างโชกโชน อีกฝ่ายรู้งานในทันที เขารีบรับไม้หวายไปถือ ก่อนจะยื่นสายสิญจน์และไข่หนึ่งฟองให้กับผม จากนั้นก็หันหลังไปตะโกนไล่ผู้คนที่มามุงดูให้ถอยออกห่าง “หนีเด้อ ๆ ไผบ่หยับออกผีปอบเข้าสิงเด้” (ถอย ๆ ใครไม่ถอยออกได้โดนผีปอบเข้าสิงแน่) ทุกคนที่ได้ยินรีบถอยหลังกรูดด้วยความกลัว แต่ยังคงชะเง้อคอเข้ามามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มประดา ก่อนจะเริ่มฮือฮากันเสียงดังเมื่อมองเข้ามาในบ้านและเห็นว่าผมกำลังพันสายสิญจน์อ้อมตัวผู้หญิงตรงหน้าไว้ พร้อมกับบริกรรมคาถา “ฮืออ นี่แม่เด้อลูก แม่เจ็บแล้วสิงห์ ฮึก ปล่อยแม่สา” (นี่แม่เองลูก แม่เจ็บแล้วสิงห์ ปล่อยแม่ไปเถอะ) ผมนิ่งชะงักไปทันที ไม่ใช่เพราะหลงกลอีผีชั่วช้า แต่กำลังบันดาลโทสะเพราะมันกล้าเอาแม่ผมมาเล่น กูอุตส่าห์จะปรานีมึงแล้ว ดันเสือกมาเล่นถึงแม่กู งั้นก็อย่าอยู่อีกเลยมึง! โผละ!! ไข่ในมือถูกฟาดลงกลางหน้าผากหญิงวัยกลางคนเต็มแรงจนมันแตกละเอียดไหลเยิ้มอาบลงหน้า “กรี๊ดดด!!” เสียงโหยหวนดังเสียยิ่งกว่าตอนถูกไม้หวายฟาดไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อน ซ้ำยังบริกรรมคาถาต่อแล้วเป่ารดหน้าผากซ้ำ ๆ จนคนที่อยู่ตรงหน้าเริ่มตาเหลือกลาน ร่างสั่นเทาอย่างรุนแรงแล้วล้มฟุบไปกับพื้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ควันสีดำลอยคลุ้งออกมาจากร่าง “ฮ่วย ๆ ๆ มันมาแล้วว” (เฮ้ย ๆ ๆ มันมาแล้ว) ชาวบ้านที่ยืนล้อมต่างวิ่งหนีแตกกระเจิง มีเพียงตาพวงที่ยืนรอดูว่าผมจะคุมวิญญาณตรงหน้าได้หรือไม่ และแน่นอนว่าผมไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ควันสีดำถูกดึงกลับมาด้วยมนต์คาถาที่ร่ายออกจากปาก แม้ว่ามันจะพยายามดิ้นขัดขืนเพียงใด แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่ผมและต้องกลับเข้ามานอนอยู่ในหม้อดินที่เตรียมเอาไว้ “อิเมทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ...” สิ้นประโยคสุดท้ายผมก็มัดปากหม้อดินด้วยผ้าแดงลงยันต์ได้แล้วเสร็จ ชาวบ้านในละแวกนี้ต่างปรบมือให้กับความกล้าหาญพลางเอ่ยชื่นชมกันไม่ขาดปาก “นอนหลับเต็มอิ่มกันจักเทือน้อบาดหนิหมู่เฮา” (นอนหลับเต็มอิ่มกันแล้วสินะพวกเรา) ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาหาพร้อมยิ้มกว้างแสดงความชื่นชม ก่อนจะหันไปพูดกับตาของผมที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานที่ผมเพิ่งทำให้ประจักษ์แก่สายตาทุกคนในวันนี้ “นี่บ้อตาพวง เขาว่าหมากต้องบ่หล่นไกลกก แนวผมดกบ่ห่อนเป็นหัวล้าน” (นี่ใช่ไหมตาพวง เขาว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว) “หึ ๆ ผีที่เกิดมาพ้อกูสมัยยังบ่ปลงนี่มันโซกดีคัก คันได้พ้อบักสิงห์นี่ตี้ มึงได้ตายตื่มแท้” (ผีที่เกิดในยุคกูมันโชคดีมากแล้ว ถ้าได้เจอไอ้สิงห์นะ บอกเลยว่ามีตายซ้ำสอง) ตาพวงกลั้วขำพลางยกบุหรี่มวนขึ้นมาจุดสูบ ในระหว่างที่ผมเร่งเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ตอนนี้ก็ใกล้จะค่ำมืด ผมต้องกลับไปทำกับข้าวกินอีก “แล้วเจ้าสิวางมือเลยเบาะ” (แล้วตาจะวางมือเลยเหรอ) “อืม กะตามที่เห็นนี่ล่ะ บักสิงห์มันเฮ็ดเป็นเบิดแล้ว วิซาอันได๋กะได้ร่ำเรียนเอาเบิด ปีวังยากะหัวก่อไปเรียนวิซามาแต่สุรินทร์กับอาจารย์สุริยันพุ่นเด้ มาไล่เบิ่งแล้วมันเก่งกว่ากูพุ่นล่ะ” (อืม ก็ตามที่เห็นนี่แหละ ไอ้สิงห์มันทำเป็นหมดแล้ว ร่ำเรียนวิชามาหมดทุกอย่าง ปีก่อนก็เพิ่งไปเรียนวิชามาจากสุรินทร์กับอาจารย์สุริยันเลยนะ มานับดูแล้วมันเก่งกว่ากูอีกนะ) “จังซี่กะซำบายใจแน ให้ไทบ้านเฮาได้มีหม่องเพิง” (แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย ให้คนในหมู่บ้านเรามีที่พึ่ง) “ว่าหยังแต่บ้านเฮา เพิงฮอดไทกรุงเทพฯ พุ่น บักหมานหลานตู้มีกะหัวก่อมาหากูตอนเซ่า บอกว่าสิพาเจ้านายเก่ามาปัว กะสิมาใกล้ฮอดแล้วตี้ กูกะสิฟ่าวกลับ” (อย่าว่าแต่บ้านเราเลย คนกรุงเทพกรุงไทยเขาก็ได้พึ่งพาด้วย ไอ้หมานหลานตามีก็เพิ่งมาหากูตอนเช้า บอกว่าจะพาเจ้านายเก่ามารักษา ตอนนี้ก็ใกล้ถึงแล้วมั้ง กูถึงได้รีบกลับนี่ไง) ทั้งคู่คุยกันยังไม่ทันจบ ผมก็เก็บของเสร็จพอดีจึงมายืนรออยู่ที่รถ ชาวบ้านก็แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันไปแล้ว คงเหลือแต่กลุ่มสาว ๆ ในหมู่บ้านที่ยังไม่กลับ แล้วดูเหมือนว่าพวกเธอจะกำลังรอผมอยู่ “อ้ายสิงห์จ๋าา เมือยบ่จ้า” (พี่สิงห์จ๋าา เหนื่อยไหมจ๊ะ) เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังเข้ามาในจังหวะที่ขาเรียวยาวก้าวฉับ ๆ เข้ามาชิด เธอคือมะนาว หลานสาวของผู้ใหญ่บ้านที่ชอบเข้าหาผมและแสดงความสนิทสนมอย่างชัดเจน ผมเข้าใจเจตนาของเธอทุกประการ ทว่าเธอยังไม่ใช่ผู้หญิงในแบบที่ผมชอบ แม้ว่าเธอจะเป็นสาวสวยที่สุดในหมู่บ้าน และเป็นที่หมายตาของชายมากมาย แต่ด้วยนิสัยและการแต่งตัวที่แรงเกินงามมันทำให้ผมรู้สึกไร้สิ้นความประทับใจ “นาวซื้อน้ำมาให้จ้ะ” เธอยิ้มกว้างจนตาหยี พลางยกถุงพลาสติกใสที่ด้านในมีทั้งน้ำแดง น้ำเปล่า และเครื่องดื่มชูกำลัง ผมจึงขอรับไว้แค่น้ำแดงเพียงขวดเดียว แต่ไม่ได้ตั้งใจจะดื่มเองหรอกนะครับ ผมจะเอาไปฝากกุมารทองที่บ้าน เพราะปกติแล้วผมไม่กินของมั่วซั่ว ถ้าไม่ได้ซื้อเอง ไม่ได้ทำขึ้นเอง หรือน้าของผมไม่ได้ทำให้ ผมไม่มีทางจับมันเข้าปากเด็ดขาด “ขอบใจ” ผมตอบกลับเพียงสั้น ๆ พลันชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่าตาพวงคุยธุระเสร็จแล้วหรือยัง และได้เห็นว่าทั้งสองกำลังเดินออกมาจากบ้านพอดี “อีมะนาว! มึงมายืนเฮ็ดหยังอยู่นี่!” (อีมะนาว มึงมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้!) ทันทีที่ผู้ใหญ่บ้านเห็นหลานสาวมายืนระริกระรี้อยู่ข้างกายผม เขาก็รีบออกปากดุอย่างรู้ทัน ทำเอาเพื่อนของเธอที่ติดตามมาสองถึงสามคนรีบขยับออกห่างด้วยความเกรงกลัว “เอ้า! กะเอาน้ำมาให้อ้ายสิงห์ตั้ว เลาหัวก่อไล่ผีมาเมือย ๆ” (เอ้า! ก็เอาน้ำมาให้พี่สิงห์ไง พี่เขาเพิ่งไล่ผีมาเหนื่อย ๆ) “มึงบ่ต้องเว่า เมือเฮือนเดียวนี่! ส่งกะใส่สั่น ๆ จังแมนบ่อยากอายไทบ้าน” (มึงไม่ต้องพูด กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย กางเกงก็ใส่สั้น ๆ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง) “โอ๊ยย! จ่มอยู่นั่นล่ะ มีแต่จ่ม! มีแต่จ่ม! รำคาญ” (โอ๊ยย! บ่นอยู่นั่นล่ะ มีแต่บ่น! มีแต่บ่น! รำคาญ) รอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิด มะนาวจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพยายามปรับอารมณ์แล้วหันมามองผมอีกรอบ “จังซั่นนาวกลับก่อนเด้อจ้า” (ถ้างั้นนาวกลับก่อนนะจ๊ะ) “อืม” ผมพยักหน้ารับด้วยท่าทางไม่ยี่หระ ก่อนจะหันไปสตาร์ตรถคันเก่าจนควันลอยโขมงเพราะตาพวงเดินมาถึงพอดี และพอขับออกมาได้สักพัก คนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังก็ชะโงกคอมาถามด้วยความอยากรู้เต็มทน “อายุมึงกะหลายแล้ว บ่อยากมีเมียนำเขาเบาะสิงห์” (อายุมึงก็เยอะแล้ว ไม่อยากมีเมียกับเขาเหรอวะไอ้สิงห์) นี่เขากำลังจะบอกให้ผมเอามะนาวเป็นเมียหรือเปล่านะ ถ้าใช่อย่างที่คิด บอกเลยว่าให้ผมอยู่เป็นโสดยังดีกว่า “บ่ดอก ข่อยบ่มักให้ไผมาวุ่นวาย” (ไม่อะ ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย) “เฒ่ามาไผสิเลี้ยงมึง” (แก่มาใครจะเลี้ยงมึงวะ) “เอ้า กะบักแก้วนั่นเด้” (เอ้า ก็ไอ้แก้วไง) ผมพูดติดตลกจนคนเป็นตาหลุดขำพลางส่ายหน้า แล้วหยุดบทสนทนาทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากมีเมียหรอกนะครับ แต่ไอ้คนอย่างผมมันไม่เหมาะกับการมีความรักหรอก ขนาดจะพูดดี ๆ ยังทำไม่เป็นเลย แต่งงานไปก็มีแต่จะทำให้ผู้หญิงเขาเสียใจและเสียโอกาสไปเปล่า ๆ อยู่คนเดียวแบบนี้มันก็สบายใจออก ไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องถนอมน้ำใจใคร แต่ละวันคิดแค่ว่าจะหาอะไรกินดี แค่นี้มันก็เป็นที่สุดของความสุขแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม