“เสร็จยัง”
“เอ่อ... ใกล้แล้วค่ะ”
คนในห้องตะโกนบอก แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจจนผมนึกห่วง นั่นเป็นเพราะผมปล่อยให้เธอเข้าไปสวมผ้าถุงเตรียมอาบน้ำอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง ส่วนผมก็ยืนกอดอกเฝ้าที่หน้าประตู แต่จนป่านนี้แล้ว คนที่อยู่ในห้องก็ยังไม่ยอมออกมา นี่เขาใส่ผ้าถุงเป็นไหมเนี่ย
“ให้เข้าไปช่วยไหม”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ เสร็จแล้ว”
คนด้านในรีบโพล่งออกมาอย่างลนลาน ก่อนที่บานประตูจะถูกผลักออกและเผยให้เห็นเรือนร่างขาวผุดผ่อง ที่มัดผ้าถุงเอาไว้ด้วยลักษณะแปลก ๆ ดูตาเดียวก็รู้ว่าไม่ทน ขยับตัวไม่นานผ้าถุงได้หลุดออกแน่ แต่จะให้ผมช่วยจัดแจงก็คงไม่เหมาะ เอาเป็นว่าผมจะปล่อยผ่านไปแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยให้น้าอรมาสอนเธออีกที
“ค่อย ๆ เดิน”
ผมส่งแขนออกไปตรงหน้าให้เธอคว้าจับ ก่อนจะค่อย ๆ พยุงเดินลงบันไดอย่างเชื่องช้า พามาหยุดอยู่ที่โอ่งมังกรหลังบ้าน ห้องน้ำของบ้านผมจะเป็นสองแบบ คือแบบที่มีโถส้วมเอาไว้ปลดทุกข์อยู่ถัดออกไป แต่เป็นห้องน้ำขนาดเล็กที่ล้อมด้วยสังกะสี และตรงนี้คือที่ไว้สำหรับอาบ จะไม่มีอะไรกั้นทั้งสิ้น มีเพียงแค่โอ่งใบเดียวและเครื่องอาบน้ำที่ห้อยอยู่ในตะกร้าสีเขียว แขวนติดกับต้นน้อยหน่าเท่านั้น
“นี่โอ่ง”
ผมจับมือเล็กที่นุ่มนิ่มจุ่มลงไปในโอ่งให้เธอรู้ตำแหน่ง ก่อนที่เรียวคิ้วบางจะย่นเข้าหากันด้วยความตื่นตกใจ
“ไม่มีประตูเหรอคะ”
ว่าแล้วก็เริ่มปัดมือไปรอบ ๆ ก่อนจะสัมผัสเข้ากับต้นน้อยหน่าที่ยืนต้นอยู่ข้าง ๆ โอ่ง
“ไม่มี อาบ ๆ ไปเถอะ แถวนี้มันมืด ไม่มีใครใส่ใจมองหรอก”
“หะ ให้อาบไปทั้งแบบนี้เลยเหรอคะ”
คนตัวเล็กยังทำหน้าเหวอไม่สร่าง ผมไม่รู้หรอกนะว่าก่อนหน้านี้เธออาบน้ำยังไง แต่แถวบ้านผมเขาก็อาบอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ
“ทำไม หรือจะให้ฉันช่วยอาบ”
“ไม่ต้องค่ะ!”
คนตัวเล็กรีบปรามอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ... มะ ไม่เป็นไรค่ะ หนูอาบได้ พี่สิงห์ไปรอที่ใต้ถุนบ้านก็ได้ เดี๋ยวหนูอาบเสร็จแล้วจะตะโกนเรียก”
“ตามใจ สบู่อยู่ในตะกร้าบนต้นน้อยหน่านะ”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วควานมือหาตะกร้า ผมจึงแสร้งถอยหลังออกมา 2-3 ก้าว ให้เธอเข้าใจว่าผมเดินหนีไปแล้ว ผมไม่ได้เป็นโรคจิตคิดจะถ้ำมองนะครับ แต่จะไม่ให้ห่วงก็คงทำไม่ได้ ดูเธอเก้ ๆ กัง ๆ ไปเสียทุกอย่าง ผมเกรงว่าเธอจะลื่นหรือเผลอหน้าคว่ำจุ่มไปในโอ่งน่ะสิ
คนตัวเล็กยืนรออยู่สักพักให้มั่นใจว่าผมเดินออกไปแล้ว เธอถึงได้ควานมือหาขันขึ้นมาตักน้ำอาบ น้ำเย็น ๆ ที่กระทบผิวกายอันขาวผ่องส่งผลให้เรือนร่างของเธอชวนมองมากยิ่งขึ้น ทั้งที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะจ้อง แต่มันห้ามสายตาและความคิดของตัวเองไม่ได้จริง ๆ
ผมยืนมองผู้หญิงตรงหน้ารดน้ำลงหัวไหล่ตัวเองซ้ำ ๆ ก่อนที่เหตุการณ์ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น
พึ่บ!
“ว้ายย!!”
“...”
ผ้าถุงที่มัดเอาไว้อย่างไม่แน่นหนาหลุดลงมาถึงเอวบาง เผยให้เห็นเนินเนื้ออวบอิ่มที่ขนาดใหญ่เตะตาอย่างไม่มีอะไรกั้น คนตัวเล็กรีบทิ้งขันแล้วย่อตัวก่อนจะดึงผ้าถุงขึ้นมามัดไว้ที่อกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเม้มปากแน่นด้วยความเขินอาย แม้ไร้แสงไฟแต่ผมรู้ดีว่าใบหน้าของเธอกำลังร้อนผ่าว โชคดีที่ตอนนี้ย่างเข้าสี่ทุ่มแล้ว เลยไม่มีใครขับรถผ่านไปมา รอบบ้านผมก็เต็มไปด้วยป่า ถัดไปจากป่าถึงจะเป็นบ้านคน
“พะ พี่สิงห์”
คนหน้าแดงระเรื่อเอ่ยเรียกชื่อผมแผ่วเบา คงกำลังทดสอบว่าผมยืนอยู่บริเวณนี้และได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่หรือเปล่า ผมจึงต้องเก็บเสียงเงียบ แสร้งไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แม้ว่าภาพจำเมื่อสักครู่มันจะทำให้ใจของผมเต้นระรัวไม่หาย
“ฟูวว! เกือบไปแล้ว”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาพร้อมพึมพำกับตัวเอง เห็นแบบนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มออกมา แล้วค่อย ๆ ขยับถอยออกห่างยิ่งกว่าเดิม เผื่อตอนเธอเรียกมาหามันจะได้เนียน
และรอเพียงไม่นานมินตราก็ตะโกนเรียกให้ผมไปหา ผมก็รีบเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะยกผ้าเช็ดตัวขึ้นคลุมไหล่ให้เธออีกชั้น เพราะตอนนี้อากาศด้านนอกหนาวมาก คนตัวเล็กปากซีดตัวสั่นเทาราวกับเจ้าเข้าเลยละ
อาบน้ำเสร็จแล้วเราทั้งคู่ก็ขึ้นมาบนบ้าน ก่อนที่ผมจะยกเสื้อผ้ากองโตออกมาให้กับมินตรา
“นี่เสื้อผ้าน้าอร ใส่พวกนี้ซะ ดีกว่าใส่ชุดที่เธอเตรียมมา มันจะได้กลมกลืนกับชาวบ้าน”
เธอเอื้อมมือรับเสื้อผ้าจากมือผมขึ้นไปคลี่ดูพร้อมกับคลำสำรวจอย่างพิจารณา
“พี่สิงห์หันหลังก่อนได้ไหมคะ หนูขอใส่เสื้อผ้าก่อน”
ผมยอมทำตามแต่โดยดี เพราะแค่ยืนใส่เสื้อผ้าคงไม่มีอะไรให้ห่วง แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด เพราะหันกลับมาแล้วดันพบว่าเธอมัดผ้าถุงแปลก ๆ อีกแล้ว นี่แค่ดึงเชือกมามัดด้านหน้าเอง แต่เธอดันเอาไปผูกไว้ด้านหลังซะงั้น
“เธอผูกผิดด้าน”
“คะ?”
ผมไม่พูดซ้ำ เดินเข้าไปชิดแล้วเอื้อมมือไปด้านหลังเอวบางเพื่อปลดถอดเชือกที่เธอมัดออก
“พะ พี่สิงห์”
“อยู่เฉย ๆ”
ผมออกคำสั่งเพราะอีกฝ่ายพยายามจะถอยออก แต่ยิ่งถอยมันยิ่งทำให้ผมแกะมัดไม่ถนัด คนบ้าอะไรมัดเชือกเสื้อผ้าเสียแน่น ไม่นึกบ้างเหรอว่าถ้าปวดฉี่กลางดึกจะแก้ออกยังไง
ผมใช้เวลาแก้มัดอยู่สักพักก็ดึงเชือกออกได้ ก่อนจะดึงสายมาด้านหน้าแล้วมัดให้ใหม่อย่างชำนาญ
“เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
มินตราเอ่ยขอบคุณพลางก้มหน้า แต่มันไม่อาจปกปิดสีแดงระเรื่อบนแก้มอันขาวนวลได้เลย ตอนนี้ผมถึงได้รู้ตัวว่าเราอยู่ใกล้กันมาก ใกล้เสียจน... ได้ยินเสียงลมหายใจ
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นมาใส่บาตรแต่เช้า”
“แล้วเราจะทำพิธีกันตอนไหนเหรอคะ”
เธอเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“หลังกินข้าวเสร็จ”
ผมจัดการปูที่นอนเอาไว้สองที่ แต่อยู่ในมุ้งเดียวกัน เผื่อว่ามีอะไรฉุกเฉินผมจะได้ลุกขึ้นมาช่วยได้ ฉุกเฉินอย่างที่ว่าก็เรื่องผีต้นเรื่องนี่แหละครับ ยิ่งใกล้ทำพิธี ตาของผมก็กำชับให้ระวังผีตนนี้ไว้ ยังไงมันก็ต้องขัดขวางเราแน่