[มินตรา Talk]
แสงสีขาวเล็ดลอดผ่านช่องเล็ก ๆ เข้ามา ทำให้ฉันรู้เวลาว่าเริ่มเช้าแล้ว ดวงตาของฉันมันไม่ได้มืดบอดสนิท เพียงแค่เบลอเสียจนจับรูปร่างและลักษณะไม่ได้ แต่หากเป็นแสงและสีก็พอที่จะวิเคราะห์ได้บ้าง
ทันทีที่รู้สึกตัว ฉันก็รีบควานมือไปยังที่นอนข้าง ๆ และพบว่าตอนนี้เจ้าของบ้านไม่อยู่ตรงนี้เสียแล้ว พบเพียงที่นอนที่พับเก็บเอาไว้ ฉันจึงรีบลุกขึ้นมาบ้าง
จริง ๆ ตอนอยู่บ้านฉันก็ตื่นสายตลอด นั่นเป็นเพราะไม่รู้ว่าระหว่างวันควรตื่นขึ้นมาทำอะไร แต่ตอนนี้ฉันอยู่ต่างถิ่น จะมานอนตื่นสายรอกินข้าวเหมือนอยู่บ้านก็คงจะดูไม่ดี
ลุกมาแล้วก็จัดการพับเก็บผ้าห่มให้เข้าที่ ถึงฉันจะมองไม่เห็น แต่กิจวัตรประจำวันฉันก็สามารถทำได้หลายอย่างจากความเคยชิน แต่ตอนนี้อยู่ต่างถิ่น ฉันเลยต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ เริ่มตั้งแต่คลำหาประตูทางออกเลยละ
มือเล็กค่อย ๆ คลำไปตามผนังไม้ ก่อนจะคลำเจอลูกบิดประตูในที่สุด เพียงแค่ผลักประตูออกไปก็พบกับแสงเจิดจ้า นี่มันกี่โมงแล้วนะ ทำไมถึงยังมีลมเย็น ๆ พัดโชยอยู่เลย
เรียวเท้าค่อย ๆ ย่างก้าวออกมาช้า ๆ พร้อมกับมือเล็กที่แตะสัมผัสคลำหาทิศทาง จำได้ว่าเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็จะถึงบันได แต่ทำไมถึงคลำไม่เจอหัวบันไดเสียที?
ฉันค่อย ๆ ขยับไปอย่างเชื่องช้าก่อนที่ขาจะก้าวออกไปด้านหน้า และในจังหวะนี้ถึงได้รู้ว่ามาถึงบันได้แล้ว แต่กลับยั้งตัวไม่ทัน ร่างเล็กเซไปด้านหน้าและเตรียมตกลงไปยังช่องว่างบันไดนั่น
“กรี๊ดดด!”
พึ่บ!
ฉันหลับตาปี๋ด้วยความกลัวจนตัวสั่น ก่อนจะค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมามองเมื่อไม่ได้สัมผัสกับความเจ็บ นั่นเป็นเพราะถูกดึงรั้งจากใครบางคนที่คว้าแขนเอาไว้ได้ทันพอดิบพอดี
“จะออกมาทำไมไม่บอก!”
เสียงตะคอกเข้าหน้าทำเอาฉันหลับตาปี๋อีกครั้ง ก่อนจะพยายามดึงสติตัวเองกลับมาพร้อมกับขยับออกจากอ้อมแขนที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ
“ขะ ขอโทษค่ะ”
“ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่เห็นก่อนจะเกิดอะไรขึ้น! อยากตายนักหรือไง”
คนร่างใหญ่ยังคงพ่นคำพูดต่อว่าไม่เลิก แล้วฉันอยากให้มันเป็นแบบนั้นหรือไงเล่า แค่นี้ก็ใจเสียจะแย่ ยังมาด่าซ้ำเติมให้มันได้อะไรขึ้นมาอีก
“คราวหลังตื่นแล้วให้เรียกฉัน ฉันจะพยุงลงมาเองเข้าใจไหม”
ฉันไม่ได้ตอบออกไปเป็นคำพูด เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ เท่านั้น อีกฝ่ายคงเห็นแล้วว่าฉันกำลังหน้าเสียเลยยอมหยุดบ่น ก่อนจะพาฉันลงมายังชั้นล่างเพื่อตรงไปล้างหน้าแปรงฟันที่โอ่งใบเดิม
ฉันใช้เวลาไม่นานก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ พี่สิงห์เลยพาฉันมายืนรอใส่บาตรที่หน้าบ้าน บริเวณนี้ไม่ได้ยินเสียงใครเลย บ้านของเขาน่าจะอยู่ห่างจากผู้คนพอสมควร
“เมื่อคืนฝันอะไรไหม”
อีกฝ่ายเอ่ยชวนคุย เพราะฉันยังงอนที่เขาดุเมื่อเช้านี้เลยไม่ยอมพูดด้วย
“ไม่ค่ะ”
ฉันตอบกลับสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แล้วผ้าห่มพอไหม เอาอีกสักผืนหรือเปล่า จะได้ให้น้าอรเอามาเพิ่มให้อีก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
จริง ๆ ก็หนาวนั่นแหละ แต่เป็นความหนาวในระดับที่ทนได้ ฉันไม่อยากทำตัวมีปัญหา ไม่อยากถูกมองว่าเป็นคุณหนูเรื่องมาก อะไรที่พอทนได้ ฉันก็อยากทนไปก่อน
“โกรธเหรอ”
“โกรธเรื่องอะไรเหรอคะ”
ฉันตีมึนถามกลับไป
“ไม่โกรธก็ดี”
อีกฝ่ายตัดบทไปเสียดื้อ ๆ ทั้งที่เมื่อกี้ยังไม่ทันได้เข้าเรื่องด้วยซ้ำ คนอะไรไม่รู้ ดุยิ่งกว่าหมาบ้า แถมยังเอาแต่ใจสุด ๆ
ฉันก็ได้แต่เก็บอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ในใจจนกระทั่งพระเดินมาถึงหน้าบ้าน พี่สิงห์จึงช่วยพยุงมือฉันตักข้าวใส่บาตรพระ
“นี่มินตราครับหลวงพ่อ ตาเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม”
พี่สิงห์เอ่ยพูดกับบุคคลตรงหน้า อีกฝ่ายก็ตอบรับพึมพำเสียงเบา ๆ
“เขาไร้ที่พึ่งแล้ว เป็นที่พึ่งให้เขาได้พึ่งพิงนะโยมสิงห์”
“ครับหลวงพ่อ”
ฟังจากน้ำเสียงพระรูปนี้น่าจะยังไม่แก่มาก แต่ฟังแล้วดูน่าเลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูกเลย
“นี่พ่อฉันเอง”
“หือ”
พี่สิงห์เอ่ยบอกตอนที่พระเดินออกไปแล้ว ทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้ถามอะไร แต่ก็มีเอะใจตรงที่พี่สิงห์เขาพูดภาษากลางได้ เพราะทั้งบ้านของเขา ไม่มีใครพูดภาษากลางได้เลย พ่อของเขาต้องเป็นคนภาคกลางแน่ ๆ
“ท่านบวชนานแล้วเหรอคะ”
“อืม ได้สิบกว่าปีแล้วมั้ง ตั้งแต่แม่ฉันตาย เขาก็บวชแล้วไม่ยอมสึกเลย นี่คงจะตายคาผ้าเหลืองเลยมั้ง”
พี่สิงห์ไม่ได้แสดงออกถึงความเศร้าหมองใด ๆ แต่ฉันกลับรู้สึกผิดที่ไปเอ่ยถึงแม่ของเขาทั้งที่มันไม่ควร
“ขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะถาม”
“ไม่เป็นไร ทำใจได้เป็นชาติแล้ว มีแต่พ่อฉันนี่แหละมั้งที่ยังทำใจไม่ได้”
คนร่างใหญ่ดันตัวขึ้นยืนพร้อมทั้งช่วยพยุงให้ฉันลุกขึ้นด้วย แต่พอฉันยืนขึ้นแล้ว เขากลับย่อตัวลงไปปัดเช็ดเศษดินที่เปื้อนอยู่หลังเท้าฉันอย่างไม่นึกรังเกียจ
“พะ พี่สิงห์ ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉันรีบถอยหลังกรูดแต่อีกฝ่ายก็ยังขยับตามมา
“อยู่เฉย ๆ เถอะน่า”
คนตรงหน้าคว้าขาฉันเอาไว้ก่อนจะปัดเช็ดเศษดินออกจากหัวเข่า เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังทักทายจากทางด้านหลัง
“เฮ็ดหยังกันน้อสองผัวเมียหนิ” (ทำอะไรกันน้าา สองผัวเมียเนี่ย)
เราทั้งคู่รีบหันขวับไปมอง และฉันจำเสียงได้ทันที เธอคือน้าอร ผู้หญิงที่ได้ฟังแค่เสียงก็รู้แล้วว่ามีจิตใจดีแค่ไหน
“หัวก่อพากันใส่บาตรแล้ว” (เพิ่งพากันใส่บาตรเสร็จน่ะ)
พี่สิงห์รีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไปรับอะไรบางอย่างจากมือของน้าอร
“โอ้ ได้หน่อไม้มาแต่ไส” (โห ได้หน่อไม้มาจากไหน)
“ไปขุดเอามื่อแลงวานน่ะ แกงหม้อบักใหญ่ คันบ่อิ่มบอกเด้อ สิตักมาให้อีก” (ไปขุดมาเมื่อเย็นวานน่ะ แกงหม้อใหญ่มาก ถ้าไม่อิ่มบอกนะ เดี๋ยวน้าตักมาให้อีก)
“อิ่มล่ะเนาะ หลายปานนี่กินได้สามคาบพุ่น” (อิ่มสิ เยอะขนาดนี้กินได้ถึงสามมื้อเลยละ)
พี่สิงห์เดินกลับเข้าไปในบ้านทันที ทิ้งให้ฉันยืนอยู่กับน้าอรด้วยกันลำพัง
“เป็นได้นาง พออยู่บ่” (เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม)
“ค่ะ”
ฉันพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูดหรอกนะ เพียงแค่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ กลัวว่าเขาจะถามอีกอย่าง แล้วดันเซ่อซ่าไปตอบอีกอย่างนี่สิ
“ดีแล้ว เดี๋ยวมื่อนี่น้าสิมาสอนใส่ผ้าถุงอาบน้ำ” (ดีแล้ว เดี๋ยววันนี้น้าจะมาสอนใส่ผ้าถุงอาบน้ำ)
เขารู้ได้ยังไงกันว่าฉันใส่ผ้าถุงไม่เป็น เมื่อวานฉันก็ไม่ได้บอกพี่สิงห์เลยนะ
“ปะ เข้าไปซ้อมกันอยู่เทิงเฮือน” (ปะ เข้าไปซ้อมกันอยู่บนบ้าน)
“ดะ เดี๋ยวค่ะ”
ฉันรั้งแขนอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
“น้าอรรู้ได้ยังไงเหรอคะว่าหนูใส่ผ้าถุงไม่เป็น”
“บักสิงห์บอกมื่อเซ่านี่ล่ะ มันว่าโตมัดบ่แน่น มันหลุดตอนอาบน้ำแมนเบาะ” (ไอ้สิงห์บอกเมื่อเช้านี่แหละ มันบอกว่าเรามัดไม่แน่น เลยหลุดตอนอาบน้ำใช่ไหม)
“...”
เสียงคล้ายลมวิ่งผ่านหูดังวิ้งไปชั่วขณะ พร้อมกับเลือดฝาดที่แผ่กระจายไปทั่วแก้ม ตอนที่ผ้าถุงหลุดเมื่อคืนนี้... พี่สิงห์เขาเห็นเหรอ!
โอ๊ยย! แล้วตอนเรียกหาทำไมไม่ขานรับเล่า ฮืออ ก็บอกให้ออกไปห่าง ๆ ยังจะยืนดูอยู่อีก แล้วนี่... เขาเห็นอะไรบ้าง เห็นชัดหรือเปล่า แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ต้องปั้นหน้ายังไงตอนที่อยู่ด้วยกัน แล้วเขาจะหาว่าฉันอ่อยหรือเปล่านะ ทำไมฉันจะต้องมารู้สึกไม่ดีด้วยเล่า ทั้งที่มันเป็นเหตุสุดวิสัยแท้ ๆ เลย