เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น ทั้งพี่สิงห์และตาพวงก็เตรียมพิธีกันวุ่นวาย ก่อนจะพาฉันขึ้นไปบนบ้านแล้วให้ไปนั่งอยู่ตรงกลาง สิ่งที่เห็นได้จากสายตาอันพร่าเบลอ คือรอบข้างเต็มไปด้วยประกายไฟที่คาดว่าน่าจะเป็นเปลวไฟที่จุดล้อมตัวฉันเอาไว้ กลิ่นของควันธูปลอยเข้ามาเตะจมูก พร้อมกลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ ที่เดาไม่ได้ว่าดอกอะไร เมื่อจัดแจงที่นั่งให้ฉันเสร็จแล้วพี่สิงห์ก็เดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าฉัน พร้อมจับมือทั้งสองข้างให้หงายขึ้นบนหน้าตักที่หัวเข่าทั้งสองข้าง
“หลับตา”
ทันทีที่ฉันทำตามคำสั่ง พี่สิงห์ก็นำผ้าสีขาวมาคาดเข้ากับดวงตาของฉันพร้อมกับมัดเอาไว้สนิท จากนั้นก็ได้ยินเสียงสวดพึมพำที่คาดว่าดังมาจากตาพวง ระหว่างนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงพี่สิงห์อีกเลย ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน
พิธีดำเนินไปอย่างราบรื่นกระทั่งผ่านไปเกือบชั่วโมง ฉันรับรู้ได้ถึงลมเย็น ๆ ที่พัดผิวกาย หน้าต่างไม้เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก่อนที่มันจะถูกกระชากออกด้วยแรงลมเสียงดังสนั่น
ปัง!
ฉันสะดุ้งเฮือกจนเกือบยกมือขึ้นมาทาบอก ทว่ามือทั้งสองกลับยกไม่ขึ้น มันหนักอึ้งคล้ายกับมีมือใครกดทับเอาไว้อยู่ ครั้นจะขยับตัวก็ทำไม่ได้ จำต้องยอมนั่งนิ่งฟังเสียงตาพวงบริกรรมคาถาเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายแข่งกับเสียงลม
“หึ ๆ ๆ”
เสียงแค่นหัวเราะเย็น ๆ ดังแว่วมาตามลมทำเอาฉันใจเต้นระส่ำ ฉันจำความรู้สึกและน้ำเสียงนี้ได้แม่น เป็นเธอจริง ๆ คนที่ควักดวงตาของฉันไปเมื่อปีก่อน
“กูบ่ยอม!” (กูไม่ยอม)
เสียงคล้ายกับใครบางคนตะโกนร้องขึ้นมาจากด้านล่างด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง มันชัดเสียจนใจฉันสั่นไหวด้วยความกลัว ถึงจะรู้ดีว่าตาพวงและพี่สิงห์มีวิชาแกร่งกล้า แต่เขาบอกว่าผีตนนี้เก่งนัก ฉันก็อดคิดหนักไม่ได้ว่าเธอจะขึ้นมาพรากอะไรออกไปจากฉันอีก
“กรี๊ดดดด! กูบ่ยอม” (กูไม่ยอม)
สิ้นเสียงกรีดร้องที่ดังคับบริเวณจนแสบแก้วหู ลมที่โหมพัดราวกับพายุจะเข้าก็สงบลง เสียงทุกอย่างรอบข้างเงียบสงัด มันเกิดอะไรขึ้นนะ หรือว่าเธอจะยอมถอยให้แล้ว
ในขณะที่ฉันพยายามหาคำตอบให้เรื่องนี้ จู่ ๆ ก็มีใครบางคนขยับเข้ามาดึงผ้าคาดตาออก เดาว่าคงจะเป็นพี่สิงห์นั่นแหละ
“ลืมตา”
ฉันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้า ๆ รอบข้างยังคงมีแสงเทียนอยู่เช่นเดิม น่าแปลกจัง เมื่อกี้ลมพัดเข้ามาแรงมาก มันควรจะดับไม่เหลือแม้แต่เล่มเดียวด้วยซ้ำ
“มองเห็นยัง”
“ยังค่ะ”
ทั้งตาพวงและพี่สิงห์ต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ดังก้องและชัดเจนในยามนี้ คือเสียงความสิ้นหวังที่ก่อเกิดขึ้นมาในใจ
“เขาไม่ยอมใช่ไหมคะ หนูได้ยินเสียงเขา”
พี่สิงห์ผ่อนลมหายใจเสียงเบา ก่อนจะเดินไปดับเทียนที่ตั้งอยู่รอบ ๆ
“คงจะแค้นมากน่ะ เขาอยู่มาร้อยกว่าปีแล้ว น่าจะเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว”
ร้อยปีเลยเหรอ อย่าบอกนะว่ารอแก้แค้นฉันมาถึงร้อยปีเลย โกรธอะไรกันขนาดนั้น ถึงได้ตามรังควานไม่เลิก
“ผู้หญิงคนนั้นน่าสงสาร เขาตาบอด ฉันเดาเอาเองว่าเธอน่าจะทำให้เขาตาบอดน่ะ”
“...”
ฉันไม่รู้เลยว่าควรรู้สึกยังไงกับประโยคนี้ มันรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก หรือว่านี่เป็นการแก้แค้นที่เขาต้องการทำให้ฉันรู้ ว่าเขาต้องทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ฉันเคยทำเอาไว้มากแค่ไหน...
“บ่เป็นหยังดอก มื่อนี่บ่เซา มื่อหน้ากะมาลองใหม่” (ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่หาย วันหน้าเราค่อยมาลองใหม่กันก็ได้)
ตาพวงค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินไปปิดหน้าต่างกลับเข้ามาตามเดิม ไม่มีคำพูดปลอบใจหรืออะไรอีก เขาทำเพียงเดินลงไปจากบ้านช้า ๆ
“ให้ข่อยไปส่งอยู่เบาะ” (ให้ผมไปส่งไหม)
“บ่ ๆ กูบอกบักสรแล้วว่าสองทุ่มให้มาฮับกู มันกะสิมาแล้วตี้ ได้ยินเสียงรถมันแล้ว” (ไม่ ๆ กูบอกไอ้สรแล้วว่าสองทุ่มให้มารับ มันน่าจะมาแล้วมั้ง ได้ยินเสียงรถแล้วเนี่ย)
พูดพร้อมกับเดินลงบันไดไป และไม่นานก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่แต่งท่อเสียงดังแสบแก้วหูวิ่งมาจอดเทียบหน้าบ้าน
“อะ ผ้าถุง เปลี่ยนซะ จะได้ลงไปอาบน้ำ”
ผ้าถุงถูกโยนลงที่หน้าตัก ก่อนเจ้าของร่างสูงใหญ่จะเดินออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่ เวลาอาบน้ำวนมาถึงแล้ว ความรู้สึกอับอายก็เคลื่อนเข้ามาเยือน
ฉันส่ายหน้าพัลวันไล่ความคิดทั้งหมด ก่อนจะลุกขึ้นสวมผ้าถุงตามที่น้าอรสอน พอนุ่งเสร็จก็ลองสะบัดตัวแรง ๆ ดู พบว่าปมที่มัดเอาไว้มันแน่นหนาจนไม่ขยับ แบบนี้ไม่มีทางหลุดเหมือนเมื่อวานแน่
“เสร็จแล้วค่ะ”
ฉันเปิดประตูออกไปพร้อมกับร้องบอก พี่สิงห์จึงพยุงฉันลงมายังโอ่งใบเดิมของเมื่อวาน
“พี่สิงห์ไปรอที่ใต้ถุนก่อนนะคะ”
“รู้แล้วน่า”
คนร่างใหญ่เอ่ยบอกก่อนจะเดินถอยห่าง แต่เนื่องด้วยบริเวณโดยรอบมันมืดมาก ทำให้ฉันไม่อาจจับตำแหน่งเขาได้ รู้แค่เพียงเขาเดินไปในทิศทางไหน
“พี่สิงห์”
ฉันร้องเรียกเสียงเบา หากเขาอยู่แถวนี้ต้องเอ่ยตอบรับแน่ แต่เขากลับเงียบกริบ ทำอย่างกับว่าตัวเองถอยห่างออกไปจนไม่ได้ยิน ที่แท้ก็ยืนแอบดูอยู่แถวนี้
“ไปแล้วสินะ”
ฉันแกล้งพึมพำเสียงเบาให้เขาได้ยินด้วย ก่อนจะใช้ขันจ้วงตักน้ำในโอ่ง จากนั้นก็...
ซ่า!!
“เฮ้ย!”
ทันทีที่โดนน้ำสาดเข้าจัง ๆ คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เผลอหลุดปากอุทานออกมา
“อ้าว! ยังอยู่ตรงนี้อีกเหรอคะ หนูนึกว่าพี่เดินไปรอใต้ถุนแล้วเสียอีก”
ฉันแกล้งทำเป็นตื่นตกใจและรู้สึกผิด แต่แทนที่เขาจะสำนึก ดันวีนฉันกลับเสียได้
“สาดมาทำไมฮะ”
“สาดไล่ผีค่ะ แล้วพี่สิงห์ล่ะคะ มายืนทำอะไรตรงนี้”
“ก็มายืนเฝ้าเธอนี่ไง เผื่อลื่นล้มหัวฟาดพื้นตายห่าพ่อแม่เธอก็มาเอาเรื่องฉันอีก”
“อ่อ... เหรอคะ”
“ทำไม ทำหน้าแบบนี้ไม่เชื่อเหรอ”
คนร่างหนาก้าวขาฉับ ๆ เข้ามาชิด ราวกับจงใจจะหาเรื่อง
“ปะ เปล่านะคะ”
ฉันส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน เริ่มรู้สึกเกร็งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เขากลับไม่ได้เดินเข้ามาหาเรื่องฉันอย่างที่คิด เพียงแค่เดินมาแย่งขันในมือของฉันขึ้นไปตักน้ำขึ้นมาราดตัว
“พี่สิงห์ ทำอะไรคะ?”
“เปียกแล้วมันหนาว ฉันจะอาบน้ำ”
“ฮะ”
เขาบ้าไปแล้วหรือไง ฉันเป็นผู้หญิงนะ มาอาบพร้อมกันแบบนี้ไม่ได้ ถึงเราจะเป็นผัวเมียกันก็เถอะ
“ทำไม กลัวอะไร หรือกลัวผ้าถุงหลุดอีก”
“...”
อีกฝ่ายเอ่ยพูดตรงประเด็นและชนหน้าฉันอย่างจังจนชาวาบไปหมด
“ยืนอยู่ทำไม อาบสิ”
ไม่พูดเปล่า เขาตักน้ำขึ้นราดตัวฉันอย่างไม่ทันตั้งตัวจนฉันดิ้นพล่านด้วยความเย็น เลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิเขา
“พี่สิงห์! มันหนาวนะ”
“หึ ๆ โวยวายก็เป็นเหรอเธอน่ะ”
เสียงแค่นหัวเราะบ่งบอกถึงความพอใจ ต่างจากฉันที่กำลังมุ่ยหน้าให้กับอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง คนนิสัยไม่ดี!
“อาบน้ำซะ เดี๋ยวฉันไปรอใต้ถุน เสร็จแล้วก็ตะโกนดัง ๆ ล่ะ”
“ใต้ถุนจริง ๆ นะคะ”
ฉันย้ำคำเพื่อเพิ่มความมั่นใจอีกรอบ
“คิดว่าฉันอยากแอบดูนมเล็ก ๆ ของเธอนักหรือไง มันไม่ได้น่าพิศวาสนักหรอก ที่มายืนเฝ้าก็เพราะเป็นห่วง แต่ถ้าเธอมั่นใจว่าอาบคนเดียวได้ก็ดูแลตัวเองดี ๆ เป็นอะไรขึ้นมาก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน”
ทิ้งประโยคที่ทิ่มแทงใจฉันเสร็จแล้วเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที ปล่อยให้ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของฉันหดเข้ากระดองด้วยความอับอายขั้นสุด
ฉันมุ่ยหน้าไล่หลังอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบใส่หน้าอกตัวเองอย่างพิจารณา
“ไอ้พี่สิงห์บ้า! มันไม่ได้เล็กสักหน่อย”