กูบ่ยอม

1523 คำ
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น ทั้งพี่สิงห์และตาพวงก็เตรียมพิธีกันวุ่นวาย ก่อนจะพาฉันขึ้นไปบนบ้านแล้วให้ไปนั่งอยู่ตรงกลาง สิ่งที่เห็นได้จากสายตาอันพร่าเบลอ คือรอบข้างเต็มไปด้วยประกายไฟที่คาดว่าน่าจะเป็นเปลวไฟที่จุดล้อมตัวฉันเอาไว้ กลิ่นของควันธูปลอยเข้ามาเตะจมูก พร้อมกลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ ที่เดาไม่ได้ว่าดอกอะไร เมื่อจัดแจงที่นั่งให้ฉันเสร็จแล้วพี่สิงห์ก็เดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าฉัน พร้อมจับมือทั้งสองข้างให้หงายขึ้นบนหน้าตักที่หัวเข่าทั้งสองข้าง “หลับตา” ทันทีที่ฉันทำตามคำสั่ง พี่สิงห์ก็นำผ้าสีขาวมาคาดเข้ากับดวงตาของฉันพร้อมกับมัดเอาไว้สนิท จากนั้นก็ได้ยินเสียงสวดพึมพำที่คาดว่าดังมาจากตาพวง ระหว่างนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงพี่สิงห์อีกเลย ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน พิธีดำเนินไปอย่างราบรื่นกระทั่งผ่านไปเกือบชั่วโมง ฉันรับรู้ได้ถึงลมเย็น ๆ ที่พัดผิวกาย หน้าต่างไม้เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก่อนที่มันจะถูกกระชากออกด้วยแรงลมเสียงดังสนั่น ปัง! ฉันสะดุ้งเฮือกจนเกือบยกมือขึ้นมาทาบอก ทว่ามือทั้งสองกลับยกไม่ขึ้น มันหนักอึ้งคล้ายกับมีมือใครกดทับเอาไว้อยู่ ครั้นจะขยับตัวก็ทำไม่ได้ จำต้องยอมนั่งนิ่งฟังเสียงตาพวงบริกรรมคาถาเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายแข่งกับเสียงลม “หึ ๆ ๆ” เสียงแค่นหัวเราะเย็น ๆ ดังแว่วมาตามลมทำเอาฉันใจเต้นระส่ำ ฉันจำความรู้สึกและน้ำเสียงนี้ได้แม่น เป็นเธอจริง ๆ คนที่ควักดวงตาของฉันไปเมื่อปีก่อน “กูบ่ยอม!” (กูไม่ยอม) เสียงคล้ายกับใครบางคนตะโกนร้องขึ้นมาจากด้านล่างด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง มันชัดเสียจนใจฉันสั่นไหวด้วยความกลัว ถึงจะรู้ดีว่าตาพวงและพี่สิงห์มีวิชาแกร่งกล้า แต่เขาบอกว่าผีตนนี้เก่งนัก ฉันก็อดคิดหนักไม่ได้ว่าเธอจะขึ้นมาพรากอะไรออกไปจากฉันอีก “กรี๊ดดดด! กูบ่ยอม” (กูไม่ยอม) สิ้นเสียงกรีดร้องที่ดังคับบริเวณจนแสบแก้วหู ลมที่โหมพัดราวกับพายุจะเข้าก็สงบลง เสียงทุกอย่างรอบข้างเงียบสงัด มันเกิดอะไรขึ้นนะ หรือว่าเธอจะยอมถอยให้แล้ว ในขณะที่ฉันพยายามหาคำตอบให้เรื่องนี้ จู่ ๆ ก็มีใครบางคนขยับเข้ามาดึงผ้าคาดตาออก เดาว่าคงจะเป็นพี่สิงห์นั่นแหละ “ลืมตา” ฉันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้า ๆ รอบข้างยังคงมีแสงเทียนอยู่เช่นเดิม น่าแปลกจัง เมื่อกี้ลมพัดเข้ามาแรงมาก มันควรจะดับไม่เหลือแม้แต่เล่มเดียวด้วยซ้ำ “มองเห็นยัง” “ยังค่ะ” ทั้งตาพวงและพี่สิงห์ต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ดังก้องและชัดเจนในยามนี้ คือเสียงความสิ้นหวังที่ก่อเกิดขึ้นมาในใจ “เขาไม่ยอมใช่ไหมคะ หนูได้ยินเสียงเขา” พี่สิงห์ผ่อนลมหายใจเสียงเบา ก่อนจะเดินไปดับเทียนที่ตั้งอยู่รอบ ๆ “คงจะแค้นมากน่ะ เขาอยู่มาร้อยกว่าปีแล้ว น่าจะเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว” ร้อยปีเลยเหรอ อย่าบอกนะว่ารอแก้แค้นฉันมาถึงร้อยปีเลย โกรธอะไรกันขนาดนั้น ถึงได้ตามรังควานไม่เลิก “ผู้หญิงคนนั้นน่าสงสาร เขาตาบอด ฉันเดาเอาเองว่าเธอน่าจะทำให้เขาตาบอดน่ะ” “...” ฉันไม่รู้เลยว่าควรรู้สึกยังไงกับประโยคนี้ มันรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก หรือว่านี่เป็นการแก้แค้นที่เขาต้องการทำให้ฉันรู้ ว่าเขาต้องทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ฉันเคยทำเอาไว้มากแค่ไหน... “บ่เป็นหยังดอก มื่อนี่บ่เซา มื่อหน้ากะมาลองใหม่” (ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่หาย วันหน้าเราค่อยมาลองใหม่กันก็ได้) ตาพวงค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินไปปิดหน้าต่างกลับเข้ามาตามเดิม ไม่มีคำพูดปลอบใจหรืออะไรอีก เขาทำเพียงเดินลงไปจากบ้านช้า ๆ “ให้ข่อยไปส่งอยู่เบาะ” (ให้ผมไปส่งไหม) “บ่ ๆ กูบอกบักสรแล้วว่าสองทุ่มให้มาฮับกู มันกะสิมาแล้วตี้ ได้ยินเสียงรถมันแล้ว” (ไม่ ๆ กูบอกไอ้สรแล้วว่าสองทุ่มให้มารับ มันน่าจะมาแล้วมั้ง ได้ยินเสียงรถแล้วเนี่ย) พูดพร้อมกับเดินลงบันไดไป และไม่นานก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่แต่งท่อเสียงดังแสบแก้วหูวิ่งมาจอดเทียบหน้าบ้าน “อะ ผ้าถุง เปลี่ยนซะ จะได้ลงไปอาบน้ำ” ผ้าถุงถูกโยนลงที่หน้าตัก ก่อนเจ้าของร่างสูงใหญ่จะเดินออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่ เวลาอาบน้ำวนมาถึงแล้ว ความรู้สึกอับอายก็เคลื่อนเข้ามาเยือน ฉันส่ายหน้าพัลวันไล่ความคิดทั้งหมด ก่อนจะลุกขึ้นสวมผ้าถุงตามที่น้าอรสอน พอนุ่งเสร็จก็ลองสะบัดตัวแรง ๆ ดู พบว่าปมที่มัดเอาไว้มันแน่นหนาจนไม่ขยับ แบบนี้ไม่มีทางหลุดเหมือนเมื่อวานแน่ “เสร็จแล้วค่ะ” ฉันเปิดประตูออกไปพร้อมกับร้องบอก พี่สิงห์จึงพยุงฉันลงมายังโอ่งใบเดิมของเมื่อวาน “พี่สิงห์ไปรอที่ใต้ถุนก่อนนะคะ” “รู้แล้วน่า” คนร่างใหญ่เอ่ยบอกก่อนจะเดินถอยห่าง แต่เนื่องด้วยบริเวณโดยรอบมันมืดมาก ทำให้ฉันไม่อาจจับตำแหน่งเขาได้ รู้แค่เพียงเขาเดินไปในทิศทางไหน “พี่สิงห์” ฉันร้องเรียกเสียงเบา หากเขาอยู่แถวนี้ต้องเอ่ยตอบรับแน่ แต่เขากลับเงียบกริบ ทำอย่างกับว่าตัวเองถอยห่างออกไปจนไม่ได้ยิน ที่แท้ก็ยืนแอบดูอยู่แถวนี้ “ไปแล้วสินะ” ฉันแกล้งพึมพำเสียงเบาให้เขาได้ยินด้วย ก่อนจะใช้ขันจ้วงตักน้ำในโอ่ง จากนั้นก็... ซ่า!! “เฮ้ย!” ทันทีที่โดนน้ำสาดเข้าจัง ๆ คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เผลอหลุดปากอุทานออกมา “อ้าว! ยังอยู่ตรงนี้อีกเหรอคะ หนูนึกว่าพี่เดินไปรอใต้ถุนแล้วเสียอีก” ฉันแกล้งทำเป็นตื่นตกใจและรู้สึกผิด แต่แทนที่เขาจะสำนึก ดันวีนฉันกลับเสียได้ “สาดมาทำไมฮะ” “สาดไล่ผีค่ะ แล้วพี่สิงห์ล่ะคะ มายืนทำอะไรตรงนี้” “ก็มายืนเฝ้าเธอนี่ไง เผื่อลื่นล้มหัวฟาดพื้นตายห่าพ่อแม่เธอก็มาเอาเรื่องฉันอีก” “อ่อ... เหรอคะ” “ทำไม ทำหน้าแบบนี้ไม่เชื่อเหรอ” คนร่างหนาก้าวขาฉับ ๆ เข้ามาชิด ราวกับจงใจจะหาเรื่อง “ปะ เปล่านะคะ” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน เริ่มรู้สึกเกร็งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เขากลับไม่ได้เดินเข้ามาหาเรื่องฉันอย่างที่คิด เพียงแค่เดินมาแย่งขันในมือของฉันขึ้นไปตักน้ำขึ้นมาราดตัว “พี่สิงห์ ทำอะไรคะ?” “เปียกแล้วมันหนาว ฉันจะอาบน้ำ” “ฮะ” เขาบ้าไปแล้วหรือไง ฉันเป็นผู้หญิงนะ มาอาบพร้อมกันแบบนี้ไม่ได้ ถึงเราจะเป็นผัวเมียกันก็เถอะ “ทำไม กลัวอะไร หรือกลัวผ้าถุงหลุดอีก” “...” อีกฝ่ายเอ่ยพูดตรงประเด็นและชนหน้าฉันอย่างจังจนชาวาบไปหมด “ยืนอยู่ทำไม อาบสิ” ไม่พูดเปล่า เขาตักน้ำขึ้นราดตัวฉันอย่างไม่ทันตั้งตัวจนฉันดิ้นพล่านด้วยความเย็น เลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิเขา “พี่สิงห์! มันหนาวนะ” “หึ ๆ โวยวายก็เป็นเหรอเธอน่ะ” เสียงแค่นหัวเราะบ่งบอกถึงความพอใจ ต่างจากฉันที่กำลังมุ่ยหน้าให้กับอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง คนนิสัยไม่ดี! “อาบน้ำซะ เดี๋ยวฉันไปรอใต้ถุน เสร็จแล้วก็ตะโกนดัง ๆ ล่ะ” “ใต้ถุนจริง ๆ นะคะ” ฉันย้ำคำเพื่อเพิ่มความมั่นใจอีกรอบ “คิดว่าฉันอยากแอบดูนมเล็ก ๆ ของเธอนักหรือไง มันไม่ได้น่าพิศวาสนักหรอก ที่มายืนเฝ้าก็เพราะเป็นห่วง แต่ถ้าเธอมั่นใจว่าอาบคนเดียวได้ก็ดูแลตัวเองดี ๆ เป็นอะไรขึ้นมาก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน” ทิ้งประโยคที่ทิ่มแทงใจฉันเสร็จแล้วเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที ปล่อยให้ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของฉันหดเข้ากระดองด้วยความอับอายขั้นสุด ฉันมุ่ยหน้าไล่หลังอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบใส่หน้าอกตัวเองอย่างพิจารณา “ไอ้พี่สิงห์บ้า! มันไม่ได้เล็กสักหน่อย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม