“จางมามา ข้ามิได้อาชุดมาเปลี่ยน เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนเลยได้หรือไม่” นางมองจางมามาอย่างอ้อนวอน
“หึหึ ชุดของคุณหนูไทเฮาเมตตาจัดเตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ งานยังมิเริ่มจะกลับก่อนได้อย่างไร” จางมามาเรียกนางกำนัลเข้ามาภายในห้อง เพื่อช่วยเจียอีแต่งตัว
“พอแล้วเจ้าค่ะ” เจียอีจับมือจางมามาที่กำลังจะใส่เครื่องประดับให้นางเพิ่ม
“ได้อย่างไรเจ้าคะ ไทเฮารับสั่งไว้ให้ข้าน้อยแต่งตัวใหม่ให้คุณหนู เครื่องประดับทั้งหมดที่เห็นก็เป็นของที่ไทเฮาให้คุณหนูมู่ ในเรื่องที่ท่านอ๋องทำไว้เจ้าค่ะ”
“มิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ เป็นข้าที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงจึงได้เป็นลม อย่าได้โทษท่านอ๋องเลยเจ้าค่ะ” นางกลัวว่าหากโทษเขา ภายหลังเขาจะมาเอาเรื่องนาง
“เด็กดี เจ้ายอมให้จางมามาแต่งตัวให้เจ้าเถิด” ไทเฮาเดินเข้ามาได้ยินสิ่งที่เจียอีพูดพอดี
“ถวายบังคมไทเฮาเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว”
“ยังจะคุกเข่าอีก เจ้าเด็กคนนี้ เร็วรีบแต่งตัวเข้างานจะเริ่มแล้ว”
เจียอีจำต้องยอมให้จางมามาและนางกำนัลประโคมเครื่องประดับใส่บนตัวของนาง ก่อนจะเข้าไปประคองไทเฮาเดินเข้างานเลี้ยงพร้อมกัน
แขกในงานเลี้ยงเริ่มเข้ามานั่งประจำที่ของตนเองแล้ว พอใกล้ถึงลานจัดเลี้ยงเจียอีก็ขอตัวแยกกลับไปนั่งที่ของนาง เพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจให้สายตาทุกคู่มองมาทางนาง
แต่สุดท้ายทุกสายตาก็แทบจะมองมาที่นางเป็นจุดเดียว เมื่อเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ดูงดงามอย่างมาก ไหนจะเครื่องประดับที่อยู่บนตัวของนาง กำไลขอมือหยกขาวมันแพะที่อยู่บนข้อมือทั้งสองข้างยิ่งขับให้ผิวขาวราวน้ำนมของนางดูน่าลูบคลำยิ่งกว่าเดิม
ปิ่นหยกขาวมันแพะแกะสลักรูปดอกโบตั๋น ที่เข้ากับกำไลข้อมือก็ยิ่งทำให้คนอื่นจ้องมองด้วยความอิจฉา
“อีอี เหตุใดเจ้าถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเล่า” สวีซื่อเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อครู่ตอนที่จางมามา พาลูกไปที่ตำหนักไทเฮา ลูกเป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ไทเฮาจึงเมตตาประทานเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ลูก”
สวีซื่อกับรองเจ้ากรมมู่เอ่ยถามเจียอีอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใดแล้วจึงได้วางใจลง
“รู้ตัวว่าเป็นไข้ เหตุใดยังมาอีก” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามเจียอีขึ้นมา นางมองที่กำไลข้อมือทั้งสองข้างและปิ่นปักผมอย่างไม่พอใจนัก
“ข้าบอกท่านแม่แล้ว ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาเสียหน่อย” นางบ่นเสียงเบา ก่อนจะหันไปสนใจของว่างที่อยู่ตรงหน้าแทน หากได้มองหน้ามู่เฟยหย่าต่อ นางอาจจะเผลอโต้ตอบออกไปก็ได้
“เว่ยอ๋องเสด็จ” เสียงขันทีประกาศเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ตะเกียบในมือของเจียอีกชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังของมู่เฟยหย่า เพื่อไม่ให้เขาเห็นนาง
นางมองสังเกตว่ามู่เฟยหย่าจะมีอาการเช่นไร และก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อดวงตาของมู่เฟยหย่าจับจ้องสนใจอยู่ที่ตัวของเว่ยอ๋องจนเขาเดินไปถึงที่นั่ง
นางได้เห็นทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งด้วย จึงได้ก้มหน้าลงเช่นเดิม แล้วลอบยิ้มในใจ ผู้ใดที่เห็นพี่สาวนางแล้วจะไม่ตกหลุมรักบ้างเล่า คงไม่มีแน่
เชื้อพระวงศ์ ทั้งหมดเข้ามาภายในงานเลี้ยงแล้ว เสียงดนตรี และอาหารเริ่มทยอยเข้ามาด้านใน เจียอีได้แต่ก้มหน้าลงสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าของนาง หรือเงยหน้าขึ้นมามองการแสดงเป็นบางครั้งเท่านั้น
“โอ๊ยยย” นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อถูกอะไรไม่รู้ที่หน้าผากของนาง
“อีอีเป็นอันใดไปลูก” สวีซื่อที่นั่งติดกับบุตรสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ท่านแม่” เจียอีเอามือที่กุมหน้าผากออกเพื่อให้บิดามารดาได้เห็น ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร
“สวรรค์ เจ้าโดนอันใดมา” สวีซื่อยกมือขึ้นปิดปาก รองเจ้ากรมใบหน้าเคร่งเครียดก่อนจะหันไปมองรอบข้างว่าผู้ใดที่ทำร้ายบุตรสาวของตน มู่เฟยหย่ายังตกใจจนตาค้างที่เห็นหน้าผากของเจียอีแดงก่ำ
“ข้าไม่รู้ แต่ข้าเจ็บ ข้าอยากกลับจวนแล้ว” เจียอีไม่อยากอยู่ที่วังหลวงแล้ว นางคิดว่าเกิดแต่เรื่อง ไม่รู้ว่าผู้ใดที่ดีดก้อนหินใส่หน้าผากของนาง
พอหันไปเห็นเว่ยอ๋องเลิกคิ้วมองอย่างยียวนนางจึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นเขาที่ทำร้ายนาง เว่ยอ๋องเพียงแต่ดีดเมล็ดถั่วใส่นางเท่านั้น ไม่ใช่ก้อนหินอย่างที่นางคิด เพราะเขาโมโหที่นางไม่คิดจะมองมาทางเขาเลยสักนิด แต่พอเห็นหน้าผากของนางแดงก่ำก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
“เช่นนั้น พ่อจะให้คนพาเจ้ากลับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ” เจียอียิ้มขอบคุณบิดา แต่ดูเหมือนว่ามารดาของนางยังอยากให้นางอยู่ต่อจนงานเลี้ยงจบ
เจียอีถูกเสี่ยวถิงประคองออกไปจากงานเลี้ยงอย่างเงียบๆ ผู้อื่นคิดว่านางคงไปทำธุระส่วนตัว จึงไม่ค่อยได้มีใครสนใจว่านางออกไปจากงานเลี้ยงเพื่อกลับจวน
“คุณหนู รอบ่าวตรงนี้สักครู่ บ่าวจะไปหาน้ำร้อนมาประคบให้ท่าน”
“ไม่ต้อง กลับจวนค่อยทำ” เจียอีไม่อยากจะอยู่ที่วังหลวงต่อแม้แต่นาทีเดียว
นางให้คนไปแจ้งไทเฮากับไป๋หรันว่านางกลับจวนก่อน เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย
“คุณหนูมู่ เชิญทางนี้สักครู่เถิด” แต่ก่อนที่นางจะเดินถึงหน้าประตูวังหลวง ก็มีขันทีเดินเข้ามาเอ่ยพูดกับนาง
“เอ่อ...กงกงมีเรื่องอันใดหรือไม่ พอดีข้ามิค่อยสบายจะรีบกลับจวนก่อน” เจียอียังใช้ผ้าปกปิดหน้าผากของนางไว้
“มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น”
เจียอีเม้มปากแน่น เพราะนางไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการพบตัวนาง “นำทางเถิดเจ้าค่ะ” นางถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินตามขันทีไปพร้อมกับเสี่ยวถิง
นางถูกพามาที่สวนดอกไม้ใกล้กับประตูทางออกจากวัง พอหันไปจะเอ่ยพูดคุยกับเสี่ยวถิงเพื่อรอผู้ที่ต้องการจะพบนางมาหา แต่กลับไม่เห็นเสี่ยวถิงอยู่กับนางแล้ว
เจียอีเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา จึงคิดที่จะหันกลับไปทางเดิม เพื่อไปขึ้นรถม้ากลับจวน แต่ก็ถูกฉุดมือไว้เสียก่อน
“จะรีบไปที่ใด เปิ่นหวางยังมิได้บอกให้เจ้ากลับ” เสียงเย็นด้านหลังที่เอ่ยพูดขึ้นมา ทำให้เจียอีขนหัวลุกทันที
“ทะ ท่านอ๋อง มีเรื่องใดที่จะพูดกับหม่อมฉันเพคะ” นางก้มหน้าลงเพื่อซ่อนดวงตาที่กำลังเผยความหวาดกลัวออกมา
“เงยหน้าขึ้น” เจียอีเม้มปากแน่น นางจะหนีก็ไม่ได้ มือของนางถูกเขาจับไว้แน่น