“แม่คะ หนูซื้อดอกไม้สวยๆ มาให้ แม่ชอบไหม” ไมอาพูดเบาๆ ขณะนั่งคุกเข่าลงหน้าหลุมศพของแม่ มือเล็กวางช่อดอกไม้สีขาวและสีชมพูอ่อนลงอย่างแผ่วเบา
สายลมเย็นพัดผ่านเส้นผมของเธอให้ปลิวเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงบของสุสาน ไมอาเงยหน้ามองรูปถ่ายของแม่ที่อยู่บนป้ายหิน ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า
“หนูสบายดีนะคะ แม่ไม่ต้องห่วง…” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย ทั้งที่ความจริงแล้วมันห่างไกลจากคำว่า ‘สบายดี’ มากเหลือเกิน
เธอสูดลมหายใจลึกเหมือนจะกลั้นน้ำตาไว้ แต่สุดท้ายก็ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“บางทีก็เหนื่อยมากเลยค่ะ…เหนื่อยจนหนูอยากวิ่งหนีไปไกลๆ แต่หนูก็ทำไม่ได้” เธอพึมพำเสียงสั่น ไล้นิ้วเบาๆ ที่ขอบหินเย็นเฉียบตรงหน้าราวกับสัมผัสแม่ที่ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
“ถ้าแม่ยังอยู่ หนูคงมีที่ให้กลับไป มีคนที่กอดหนูได้เวลาทุกข์ใจ…” ไมอาหยุดพูด ดวงตาที่เคยแข็งแรงในทุกวันบัดนี้สั่นไหวไปหมด
เธอก้มหน้าลงซบกับหัวเข่าตัวเอง หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าเปียกขากางเกงไปหมด
“หนูคิดถึงแม่จังเลยค่ะ…” เสียงที่เอ่ยออกมาเบาราวเสียงกระซิบที่ลอยหายไปพร้อมสายลม
ไมอาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองรูปถ่ายของแม่ที่ยิ้มอ่อนโยนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใยในรูปนั้นทำให้หัวใจของเธอปวดหนึบ
“หนูรู้ว่าแม่คงไม่อยากเห็นหนูเป็นแบบนี้ แต่หนูเหนื่อยจริงๆ” เสียงของไมอาเบาลงเหมือนกำลังสารภาพสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจ “บางที…หนูก็ไม่รู้จะเข้มแข็งต่อไปยังไง”
มือเล็กค่อยๆ วางช่อดอกไม้ให้เข้าที่ น้ำตายังคงไหลไม่หยุด แม้จะพยายามกลั้นเท่าไหร่ก็ตาม
“ถ้าแม่ยังอยู่มันคงจะดีมากกว่านี้” น้ำเสียงของเธอเปราะบางราวกับใกล้แตกสลายเต็มที
เธออยากจะบอกแม่ทุกอย่าง อยากบอกว่าเธอกำลังเผชิญอะไรอยู่ แต่ก็ทำได้แค่กลืนความเจ็บปวดลงไป แล้วร้องไห้เงียบๆ อยู่ตรงนี้ ในที่ที่เธอรู้สึกปลอดภัยที่สุด
•••
ในช่วงบ่ายแก่ๆ แสงแดดอ่อนๆ ทอดผ่านต้นไม้ใหญ่ที่ล้อมรอบบ้านสวน ไมอาถือถุงขนมครกเจ้าโปรดในมือ ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มเมื่อมาถึงบ้านตากับยาย
“ตาจ๋า ยายจ๋า~” ไมอาเดินเข้ามาพร้อมถุงขนมครกในมือ รอยยิ้มบนใบหน้าดูสดใสขึ้นอย่างชัดเจน “หนูซื้อขนมครกมาฝาก”
ตาสมานที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ระเบียงเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงหลานสาว
“มาแล้วเหรอหลานรักของตา”
ไมอาวิ่งเข้ามาหาตาสมานแล้วกอดแน่นอย่างเคย ก่อนจะส่งถุงขนมครกให้ ตาสมานพูดยิ้มแล้วรับถุงขนมครกจากมือหลานสาวมา
“ตากับยายเพิ่งบ่นคิดถึงไปเมื่อกี้นี้เอง”
“รู้ไงคะว่าคิดถึง เลยซื้อขนมครกมาฝาก” เธอตอบตาด้วยรอยยิ้มสดใส คราวก่อนตาบอกว่าสีหน้าดูเหนื่อยๆ วันนี้เลยพกรอยยิ้มมาแจกคนแก่สักหน่อย “แล้วยายล่ะคะ อยู่ไหน”
“อยู่ในครัว น่าจะกำลังทำขนมเทียนแก้วอยู่”
ไมอาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดเหมือนกลับบ้านที่แท้จริง เธอเดินไปยังครัวไม้ที่เปิดโล่ง มีลมโชยผ่านเย็นสบาย
ภายในครัว ยายมาลินีกำลังนั่งห่อขนมเทียนแก้วอย่างตั้งใจ มือเหี่ยวย่นแต่เต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว ห่อขนมแต่ละชิ้นดูสวยงามเป็นระเบียบจนน่าเอาไปวางขายหน้าร้านขนมโบราณ
“ยายจ๋า~” ไมอาเรียกเสียงสดใสขณะเดินเข้ามา ยายมาลินีเงยหน้าขึ้น พอเห็นหลานสาวก็รีบวางห่อขนมในมือแล้วรีบอ้าแขนออกกว้าง
“อ้าว! หลานยายมาแล้วเหรอ” ยายยิ้มตาหยีอย่างดีใจ
ไมอาวิ่งเข้าไปซุกในอ้อมกอดของยายเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้เจอยายมานานหลายเดือน กลิ่นหอมของใบตองและแป้งขนมทำให้เธอรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
“คิดถึงยายที่สุดเลยค่ะ”
“ยายก็คิดถึงหนูเหมือนกัน ไม่นึกว่าวันนี้จะโผล่มาเซอร์ไพรส์ยาย”
“ไมอาซื้อขนมครกมาฝากตากับยายด้วยนะคะ!”
“น่ารักเหมือนเดิมเลยหลานยาย” ยายมาลินีหัวเราะเบาๆ พลางลูบศีรษะไมอา “ยายทำขนมเทียนแก้วของโปรดหลาน เดี๋ยววันนี้ยายห่อกลับให้เยอะๆ เลยนะ”
“จริงเหรอจ้ะ! ยายใจดีที่สุดในโลกเลยย” เธอตอบอย่างร่าเริง ก่อนจะช่วยยายห่อขนมเทียนแก้ว
ทั้งสองช่วยกันห่อขนมเทียนแก้วอยู่ในครัวเงียบๆ เสียงใบตองแห้งเสียดสีกับนิ้วมือของไมอาและยายมาลินีดังเป็นจังหวะเบาๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเรียบง่ายและอบอุ่น
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างไมอา” ยายมาลินีถามขึ้นในขณะที่มือยังคงห่อขนมด้วยท่าทางชำนาญ
ไมอาชะงักเล็กน้อย ใบหน้ายิ้มแย้มของเธอพลันเปลี่ยนไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ก็ดีจ้ะยาย”
“แล้วกับพ่อล่ะ” ยายมาลินีรู้ว่าหลานไม่ลงรอยกับพ่อ เมียใหม่ และแพทตี้ที่เป็นน้องสาวต่างแม่ ทุกวันนี้คุยกับตาสมานว่าเป็นห่วงหลานสาว แต่ไมอาก็ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่คนแก่ดูออกเสมอมา
ไมอานิ่งเงียบ หลังจากถูกถามแบบนั้น
“เหมือนเดิมจ้ะยาย”
“ถ้าเหนื่อยหรือมีเรื่องไม่สบายใจก็มาหาตากับยายได้เสมอนะ”
“จ้ะยาย” เธอพยายามพูดให้ดูสดใส มองยายที่กำลังห่อขนมแล้วรู้สึกผิดที่ต้องปิดบัง
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจอย่ากลัวที่จะบอกยายนะ” ยายมาลินีบอกหลานสาวด้วยรอยยิ้มใจดี
“จ้ะยาย” เธอตอบแล้วยิ้มบางๆ ให้ยาย เวลามีเรื่องไม่สบายใจอะไรเธอมักบอกตากับยายเสมอ แต่เรื่องนี้ไม่สามารถบอกได้จริงๆ ถ้าพวกท่านรู้ว่าเธอยอมแลกศักดิ์ศรีเพื่อรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้ พวกท่านคงไม่รอช้าที่จะไปอยู่ที่อื่นเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีหลานสาวเพียงคนเดียว
เธอรักบ้านหลังนี้ แม้มันจะเก่าไปตามกาลเวลา ทว่าก็เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย อีกอย่างแม่รักบ้านหลังนี้มาก พอแม่เสียบ้านและที่ดินก็กลายเป็นมรดกที่แบ่งให้ทั้งพ่อและเธอ พ่อใช้สิทธิ์ในฐานะเจ้าของร่วมกดดันให้เธอยอมทำตามทุกอย่าง เพราะบ้านทั้งหลังเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีใครแบ่งแยกได้ง่ายๆ พ่อเลยใช้ช่องโหว่ตรงนี้บีบให้เธอจำยอม
หลังจากทำขนมเทียนแก้วเสร็จ ไมอามานั่งพูดคุยและกินขนมเทียนแก้วกับตาและยายอยู่หน้าบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่นรายล้อม
LINE
เสียงข้อความที่ดังขึ้นทำให้ไมอาคว้ามาดูแล้วพบว่าเป็นธีสิสที่ส่งมา เธอกดค้างตรงแชตเพื่ออ่านข้อความโดยไม่ได้กดเข้าไปอ่านโดยตรง
ธีสิส : มาหาฉันตอนนี้
เธอเลือกที่จะยังไม่ตอบเพราะให้เขาคิดเอาเองว่าเธออาจจะยังไม่ว่าง เธอกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงแล้วคุยกับกับตาและยายต่อ
ตอนนี้เธออยากใช้เวลาอยู่กับคนสำคัญก่อนเป็นอันดับแรก แต่กับธีสิสรู้ดีว่าเขาเรียกเธอไปด้วยจุดประสงค์อะไร ไม่ได้เล่นตัว แต่บุคคลที่สำคัญในชีวิตของเธอ คือ สองคนตรงหน้า
“กินเยอะๆ นะลูก” ตาสมานที่นั่งข้างไมอายิ้ม พลางยื่นจานขนมเทียนแก้วให้หลานสาว
“จ้ะตา” เธอรับจานขนมมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบขนมเทียนแก้วขึ้นมาชิม รสชาติหวานละมุนและความเหนียวนุ่มของแป้งทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นไงลูก ยายยังไม่ลืมสูตรขนมนะ” ยายมาลินีเอ่ยแซวเสียงอ่อนพร้อมรอยยิ้มใจดี
“อร่อยที่สุดเลยจ้ะยาย ขนมของยายไม่มีใครทำอร่อยเท่านี้อีกแล้ว” เธอพูดพร้อมยิ้มกว้าง จังหวะนั้นเองตาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ปากหวานเหมือนแม่ตอนสาวๆ เลย”
ไมอานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า ‘แม่’ จากปากตา แต่เธอก็รีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม
“หนูเหมือนแม่จริงเหรอจ้ะ”
“เหมือนมากโดยเฉพาะเวลาหนูยิ้มแบบนี้” ตาสมานพยักหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน
“วันนี้หนูไปหาแม่มา เอาดอกไม้ที่แม่ชอบไปให้ ถ้าแม่ยังอยู่…ป่านนี้แม่คงนั่งกินขนมเทียนกับพวกเรา”
ตาสมานกับยายมาลินีมองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะมือคนแก่ของผู้เป็นยายจะเลื่อนไปลูบหลังหลาน
“ไม่ว่าชีวิตข้างนอกมันจะเป็นยังไง หลานกลับมาที่นี่ได้ตลอดนะ” คำพูดของยายทำเอาไมอาเกือบจะน้ำตาซึม หากแต่เธอก็พยายามกลั้นเอาไว้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
เธอเหลือบมองโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างหน้าบนโต๊ะ ความรู้สึกหนักอึ้งเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
แม้รู้ว่าอีกไม่นานต้องเผชิญกับโลกอีกใบหนึ่ง แต่ ณ เวลานี้เธอขอให้ตัวเองได้ซึมซับความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ กับตาและยายให้เต็มที่ก่อน
เสียงนกร้องท่ามกลางต้นไม้ใหญ่และสายลมที่พัดมาอย่างแผ่วเบา ทำให้บรรยากาศหน้าบ้านสวนยิ่งชวนให้ไมอารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในอีกโลกที่ไม่มีเรื่องวุ่นวาย
ด้านธีสิส
ห้องทำงานส่วนตัวของธีสิสในสนาม T1 บรรยากาศเงียบเชียบผิดปกติ ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน มือหนาถือแก้วเหล้าที่ยังไม่ถูกแตะ ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาคมกริบขุ่นมัวเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ
เขาเพิ่งกลับจากประชุมที่เต็มไปด้วยแรงเสียดทานทางธุรกิจ กลุ่มทุนใหม่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีพยายามเข้ามาแทรกแซงผลประโยชน์ในสนามแข่งของเขา ความเคลื่อนไหวพวกนี้ไม่ได้ทำให้เขากังวล แต่กลับทำให้เขา ‘หัวเสีย’
“คิดว่าจะแบ่งเค้กของกูง่ายๆ งั้นเหรอ…” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นจัด
ธีสิสหมุนเก้าอี้หันไปมองนอกหน้าต่าง กระจกใสบานใหญ่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของสนามแข่งที่เงียบสงบในยามค่ำคืน ความเงียบนี้กลับทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความที่เขาส่งหาไมอาไปตั้งแต่ช่วงบ่าย
ยังไม่อ่านและยังไม่ตอบ…
เพียงเท่านั้นรอยยิ้มที่มุมปากกลับเลือนหาย ดวงตาคมเข้มจ้องหน้าจอมือถือเขม็ง เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงเย็นเหยียบดังขึ้นในห้องที่ไร้ผู้คน
“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตอบ?” เขาไม่ใช่คนที่ชอบให้ใคร ‘เล่นตัว’ โดยเฉพาะในวันที่เขาอารมณ์เสียแบบนี้ และเขายิ่งไม่ชอบเวลาผู้หญิงในการครอบครองทำเหมือนไม่สนใจหรือไม่เห็นหัว
มือหนากดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงรีบโผล่มารายงานตัวต่อหน้าเขาตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ส่งข้อความไปแล้ว แต่ไมอากลับกล้าพอที่จะ ‘หายไป’ ทั้งวัน
เขาขบกรามแน่นก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง มือหนาคว้าแจ็กเก็ตหนังจากพนักเก้าอี้ สะบัดขึ้นพาดไหล่ด้วยท่าทางไม่รีบร้อน แต่แววตาคมนั้นกลับบ่งบอกชัดว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ที่แทบจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ธีสิสก้าวออกจากห้องทำงานด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่ทุกก้าวเดินของเขากลับเต็มไปด้วยรังสีอันตรายจนลูกน้องที่ยืนอยู่ละแวกนั้นต้องเบือนหน้าหลบด้วยความรู้สึกหวาดเกรงอำนาจที่แผ่ออกมา
Empire Rich
ด้านหน้าคอนโดสูงระฟ้าในย่านใจกลางเมือง ธีสิสยืนพิงรถสปอร์ตสีดำเงาราคาแพง มือข้างหนึ่งซุกในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยียบ
นักล่ามารอเหยื่อถึงหน้าถ้ำ…
แสงไฟสีส้มจากเสาไฟข้างทางทอดเงาของเขายาวบนพื้นถนน แววตาเรียบนิ่งแฝงความไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ขณะรอใครบางคนที่กล้าหาญพอจะไม่ตอบข้อความของเขาทั้งวัน
จนกระทั่ง…
คนที่เพิ่งมาถึงชะงักทันทีที่เห็นธีสิสยืนอยู่ หัวใจดวงน้อยพลันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ความเย็นจากสายตาของเขาทำเอาขนอ่อนลุกชันไปทั้งตัว
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่
ไมอากัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นอาการประหม่า ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติแล้วแกล้งทำเป็นไม่หวั่นไหว เธอเดินตรงเข้าไปหาเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“มาแล้วเหรอ”