บทที่ 4-2

1460 คำ
จักรทิพย์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนของมโนรม เขาไม่ได้ปรายตามองหญิงสาวด้วยซ้ำ เพราะสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่มนตระการที่กำลังหลบสายตาของเขา “กลับบ้าน” “คะ” มโนรมขานรับอย่างไม่เข้าใจนัก แต่พอเห็นสายตาของจักรทิพย์ที่มองไปทางมนตระการ หญิงสาวก็รู้สึกว่าระหว่างจักรทิพย์กับมนตระการคงต้องมีอะไรแน่ๆ “จักรรู้จักกับเจ้าของร้านด้วยหรือคะ” “รู้จักสิ รู้จักดีเลย” จักรทิพย์เอ่ยเสียกระด้าง เขาไม่ชอบใจที่เห็นภูวิศอยู่ข้างๆ มนตระการ แถมยังดูสนิทสนมกันจนออกนอกหน้า เขาไม่ได้หึง เขาแค่ไม่ชอบใจก็แค่นั้น “เดี๋ยวมนขับรถกลับเองได้ค่ะ” “กลับบ้าน เดี๋ยวนี้” จักรทิพย์เอ่ยเสียงเข้มงวดอย่างไม่คิดจะผ่อนปรน มนตระการพยายามระงับอารมณ์ขุ่นมัว และโต้ตอบกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “มนเพิ่งจะทำขนมออกมา ยังขายไม่หมด มนยังไม่กลับค่ะ” เมื่อจักรทิพย์เอ่ยเสียงแข็ง มนตระการก็โต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงในแบบเดียวกัน ทั้งคู่จ้องกันด้วยสายตาฟาดฟัน โดยมีภูวิศกับมโนรมมองสถานการณ์ที่ภูวิศเข้าใจความเกรี้ยวกราดของจักรทิพย์ในตอนนี้ ส่วนบนใบหน้าของมโนรมมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด จักรทิพย์กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะคว้ากระเป๋าสตางค์ที่เหน็บอยู่หลังกระเป๋ากางเกงออกมา เขาหยิบแบงก์พันออกมาห้าใบแล้ววางลงบนตู้กระจก “ฉันเหมาหมดใส่ถุงมา” “มนไม่ขายให้คุณจักรหรอกค่ะ” “ฉันหยิบเองก็ได้” จักรทิพย์พาตัวเองเข้าไปด้านในแล้วแทรกกลางระหว่างมนตระการกับภูวิศ คิ้วสวยขมวดมุ่นระหว่างที่จักรทิพย์จัดแจงหยิบขนมในถาดใส่กล่องราวกับเจ้าตัวเป็นเจ้าของร้านแถมยังหันไปบอกภูวิศ “ช่วยเอาขนมใส่ถุงหน่อย อย่าทำตัวไร้ประโยชน์” หากไม่ติดว่านี่คือสามีของเพื่อนภูวิศคงท้าตีท้าต่อยกับอีกฝ่ายไปแล้ว จะเห็นแก่ที่จักรทิพย์ทำราวกับว่ามโนรมไร้ตัวตน เขาจะยอมทำตามที่อีกฝ่ายสั่งก็ได้ ภูวิศช่วยหยิบขนมที่จักรทิพย์เหมาใส่กล่อง พอขนมเกลี้ยงตู้ จักรทิพย์ก็หยิบถุงขนมขึ้นมาพร้อมกับคว้าข้อมือเล็กของมนตระการ แล้วลากหญิงสาวออกไปจากร้านแบบตัวปลิว ไม่สนใจทั้งภูวิศและมโนรม “เดี๋ยวก่อนสิคะจักร รอนิ้งด้วย” จักรทิพย์ไม่ได้ให้ความสนใจคนรักเก่าอย่างมโนรมอยู่แล้ว เขาลากมนตระการมาที่รถ จัดการยัดทั้งคนทั้งถุงขนมเข้าที่เบาะนั่งข้างคนขับ มนตระการพยายามจะลงจากรถ แต่ทุกการต่อต้านของหญิงสาวต้องชะงัก เพราะอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาข่มขู่ “ถ้าเธอก้าวรถจากรถแล้วละก็ ฉันจะจูบเธอโชว์ไอ้หมอนั่น ถ้าอยากลองดีก็ก้าวลงมา” นอกจากคำพูดที่เอ่ยอย่างข่มขู่ ตาคมก็วาวโรจน์ยามที่จับจ้องสีหน้าบึ้งตึงของมนตระการ หญิงสาวได้แต่เม้มเรียวปากอิ่มแน่น มองค้อนคนตรงหน้า แม้จะฉุนกึกแต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น คนนิสัยเสียอย่างเขาคงไม่ได้แค่พูดจาข่มขู่ เขาคงลงมือทำจริงๆ หากหญิงสาวดื้อรั้น เห็นมนตระการนั่งนิ่งและมองเมินไปอีกทาง จักรทิพย์จึงถอยออกมา เขาจัดการดันประตูปิดก่อนจะเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ “เดี๋ยวก่อนสิคะจักร จักรจะไปไหนคะ” มโนรมรั้งแขนข้างที่กำลังจับประตูรถของจักรทิพย์เอาไว้ ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวอย่างไม่พอใจ ก่อนที่มือหนาจะดันมือของมโนรมออก และตอกย้ำด้วยคำพูดที่ทำให้มโนรมรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย “ผมจะกลับบ้าน และถ้าไม่จำเป็นอย่ามาแตะต้องตัวผมอีก” จักรทิพย์ไม่คิดจะถนอมน้ำใจอะไรนั้น เขาดึงประตูรถให้เปิดกว้างพาตัวเองเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็วและออกรถแม้ว่าจะทำให้มโนรมจะเสียหลักจนแทบจะล้มไปคลุกฝุ่นเขาก็ไม่แยแส ภูวิศมองมโนรมด้วยความสมเพช ชายหนุ่มหัวเราะเยงดังอย่างไม่เก็บอาการเมื่อมโนรมยืนไอโขลกท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณหลังจากการเคลื่อนรถออกไปของจักรทิพย์ “หัวเราะอะไรยะ ฮึ่ย” มโนรมหันมาตวาดใส่ภูวิศก่อนจะกระแทกเท้าตึงๆ เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ภูวิศหัวเราะจนไหล่สั่นระหว่างที่มองรถของมโนรมขับออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด “นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่คะ” “ทำไม กลัวฉันจะพาเธอไปขายหรือไง อย่างเธอจะขายได้สักเท่าไรกันเชียว” จักรทิพย์หันมาถามอย่างยียวนตอนที่เขาหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในไร่ไตรลักษณ์ในส่วนของบ้านพักคนงานแทนที่จะตรงไปที่บ้านอย่างที่มนตระการคิด “ก็คุณจักรบอกว่าจะกลับบ้าน” “ฉันมีธุระ” “มีธุระแล้วทำไมไม่แวะส่งมนที่บ้านก่อนคะ” “ทำไมฉันต้องทำตามความต้องการของเธอด้วย” จักรทิพย์เลิกคิ้วพลางยกมุมปากใส่มนตระการด้วยท่าทางยียวน หญิงสาวอยากจะข่วนใบหน้าหล่อคมนั่นให้เลือดซิบ ดวงตาคู่สวยมองค้อนก่อนจะหันหน้าไปมองทัศนียภาพข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แทน จักรทิพย์เหลือบมองหญิงสาวก็กระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ รถซีอาร์วีสีขาวมุกจอดที่หน้าบ้านพักของคนงาน ปกิตผู้จัดการไร่ก็พักอยู่ที่นี่ แต่บ้านพักของปกิตจะแยกเป็นสัดส่วนห่างจากบ้านพักคนงานที่สร้างเป็นห้องติดๆ กันคล้ายห้องแถวเอาไว้เช่าพอประมาณ และนี่ก็เป็นสวัสดิการของไร่ไตรลักษณ์ที่ให้คนงานอยู่ฟรี โดยจ่ายค่าน้ำค่าไฟแบบเหมาจ่ายในราคาถูกแสนถูก ตรงแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านพัก คนงานผู้ชายกำลังนั่งล้อมวงกันรวมถึงปกิตด้วย เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินและพวกเขาก็กำลังตั้งวงดื่มเหล้า พอเห็นรถเจ้านายเข้ามาก็พากันตกใจ ปกิตเป็นคนแรกที่รีบวางแก้วในมือลง รีบขยับเท้าไปถึงรถของจักรทิพย์ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวลงมา และยืนอยู่ข้างรถที่จักรทิพย์ค่อยๆ ลดกระจกลง ปกิตแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นมนตระการนั่งมาด้วย ผู้จัดการหนุ่มยิ้มน้อยๆ ทักทายมนตระการตามมารยาทก่อนจะดึงสายตามาที่จักรทิพย์ “คุณจักรมีอะไรหรือเปล่าครับ ลำบากมาถึงที่นี่เชียว มีอะไรก็โทร.มาบอกผมได้ครับ จะได้ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่” “ตั้งวงกันอยู่ล่ะสิ” “แหะๆ” ปกิตหัวเราะแห้งพลางเกาหัวแกรกๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่จักรทิพย์ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเพราะนี่เป็นนอกเวลางาน “พอดีคนงานไปได้หมูป่ามาครับก็เลยทำผัดเผ็ดกินกัน แต่จะให้กินผัดเผ็ดหมูป่าอย่างเดียวก็ไม่ค่อยอร่อย เราก็เลยจัดเหล้าป่ามาด้วย อร่อยเลยครับ คุณจักรอยากดื่มด้วยกันไหม” ใจจริงจักรทิพย์ก็ไม่ได้อยากดื่มสักเท่าไร แต่พอหันไปเห็นคนที่นั่งหน้ามุ่ยข้างๆ จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากจะดื่มขึ้นมา “ก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้ดื่มเหล้าป่ามานานแล้ว” ว่าแล้วเขาก็ก้าวลงจากรถ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่มนตระการนั่ง หยิบถุงขนมที่วางอยู่บนตักหญิงสาวขึ้นมาถือ แล้วบอกให้อีกฝ่ายลงจากรถ “ลงมา” “มนไม่ลงค่ะ” จักรทิพย์ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งตอนที่เรียกปกิตให้มารับถุงขนมไปจากมือ “พี่ปกิต ผมฝากเอาขนมไปให้คนงานผู้หญิงหน่อย เอาไปแบ่งกัน แบ่งให้เด็กๆ ด้วย” “ได้เลยครับ” ปกิตรับถุงขนมไปอย่างกระตือรือร้นและนำถุงขนมไปส่งให้คนงานผู้หญิงที่อยู่แถวๆ นั้น จักรทิพย์ที่ยังไม่ละสายตาไปจากหญิงสาวที่นั่งหน้ามุ่ยกระตุกยิ้มมุมปาก “ตกลงจะลงไม่ลง” “ไม่ค่ะ” มนตระการปฏิเสธและรั้งสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น มีคนงานอยู่มากมายจักรทิพย์คงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม นั่นคือความคิดที่อยู่ในหัวของมนตระการ แต่ไม่ใช่ความคิดที่อยู่ในหัวของจักรทิพย์ “เธอท้าทายฉันเองนะมนตระการ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม