จักรทิพย์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนของมโนรม เขาไม่ได้ปรายตามองหญิงสาวด้วยซ้ำ เพราะสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่มนตระการที่กำลังหลบสายตาของเขา
“กลับบ้าน”
“คะ”
มโนรมขานรับอย่างไม่เข้าใจนัก แต่พอเห็นสายตาของจักรทิพย์ที่มองไปทางมนตระการ หญิงสาวก็รู้สึกว่าระหว่างจักรทิพย์กับมนตระการคงต้องมีอะไรแน่ๆ
“จักรรู้จักกับเจ้าของร้านด้วยหรือคะ”
“รู้จักสิ รู้จักดีเลย”
จักรทิพย์เอ่ยเสียกระด้าง เขาไม่ชอบใจที่เห็นภูวิศอยู่ข้างๆ มนตระการ แถมยังดูสนิทสนมกันจนออกนอกหน้า เขาไม่ได้หึง เขาแค่ไม่ชอบใจก็แค่นั้น
“เดี๋ยวมนขับรถกลับเองได้ค่ะ”
“กลับบ้าน เดี๋ยวนี้”
จักรทิพย์เอ่ยเสียงเข้มงวดอย่างไม่คิดจะผ่อนปรน มนตระการพยายามระงับอารมณ์ขุ่นมัว และโต้ตอบกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“มนเพิ่งจะทำขนมออกมา ยังขายไม่หมด มนยังไม่กลับค่ะ”
เมื่อจักรทิพย์เอ่ยเสียงแข็ง มนตระการก็โต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงในแบบเดียวกัน ทั้งคู่จ้องกันด้วยสายตาฟาดฟัน โดยมีภูวิศกับมโนรมมองสถานการณ์ที่ภูวิศเข้าใจความเกรี้ยวกราดของจักรทิพย์ในตอนนี้ ส่วนบนใบหน้าของมโนรมมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
จักรทิพย์กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะคว้ากระเป๋าสตางค์ที่เหน็บอยู่หลังกระเป๋ากางเกงออกมา เขาหยิบแบงก์พันออกมาห้าใบแล้ววางลงบนตู้กระจก
“ฉันเหมาหมดใส่ถุงมา”
“มนไม่ขายให้คุณจักรหรอกค่ะ”
“ฉันหยิบเองก็ได้”
จักรทิพย์พาตัวเองเข้าไปด้านในแล้วแทรกกลางระหว่างมนตระการกับภูวิศ คิ้วสวยขมวดมุ่นระหว่างที่จักรทิพย์จัดแจงหยิบขนมในถาดใส่กล่องราวกับเจ้าตัวเป็นเจ้าของร้านแถมยังหันไปบอกภูวิศ
“ช่วยเอาขนมใส่ถุงหน่อย อย่าทำตัวไร้ประโยชน์”
หากไม่ติดว่านี่คือสามีของเพื่อนภูวิศคงท้าตีท้าต่อยกับอีกฝ่ายไปแล้ว จะเห็นแก่ที่จักรทิพย์ทำราวกับว่ามโนรมไร้ตัวตน เขาจะยอมทำตามที่อีกฝ่ายสั่งก็ได้
ภูวิศช่วยหยิบขนมที่จักรทิพย์เหมาใส่กล่อง พอขนมเกลี้ยงตู้ จักรทิพย์ก็หยิบถุงขนมขึ้นมาพร้อมกับคว้าข้อมือเล็กของมนตระการ แล้วลากหญิงสาวออกไปจากร้านแบบตัวปลิว ไม่สนใจทั้งภูวิศและมโนรม
“เดี๋ยวก่อนสิคะจักร รอนิ้งด้วย”
จักรทิพย์ไม่ได้ให้ความสนใจคนรักเก่าอย่างมโนรมอยู่แล้ว เขาลากมนตระการมาที่รถ จัดการยัดทั้งคนทั้งถุงขนมเข้าที่เบาะนั่งข้างคนขับ มนตระการพยายามจะลงจากรถ แต่ทุกการต่อต้านของหญิงสาวต้องชะงัก เพราะอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาข่มขู่
“ถ้าเธอก้าวรถจากรถแล้วละก็ ฉันจะจูบเธอโชว์ไอ้หมอนั่น ถ้าอยากลองดีก็ก้าวลงมา”
นอกจากคำพูดที่เอ่ยอย่างข่มขู่ ตาคมก็วาวโรจน์ยามที่จับจ้องสีหน้าบึ้งตึงของมนตระการ หญิงสาวได้แต่เม้มเรียวปากอิ่มแน่น มองค้อนคนตรงหน้า แม้จะฉุนกึกแต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น คนนิสัยเสียอย่างเขาคงไม่ได้แค่พูดจาข่มขู่ เขาคงลงมือทำจริงๆ หากหญิงสาวดื้อรั้น
เห็นมนตระการนั่งนิ่งและมองเมินไปอีกทาง จักรทิพย์จึงถอยออกมา เขาจัดการดันประตูปิดก่อนจะเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ
“เดี๋ยวก่อนสิคะจักร จักรจะไปไหนคะ”
มโนรมรั้งแขนข้างที่กำลังจับประตูรถของจักรทิพย์เอาไว้ ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวอย่างไม่พอใจ ก่อนที่มือหนาจะดันมือของมโนรมออก และตอกย้ำด้วยคำพูดที่ทำให้มโนรมรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย
“ผมจะกลับบ้าน และถ้าไม่จำเป็นอย่ามาแตะต้องตัวผมอีก”
จักรทิพย์ไม่คิดจะถนอมน้ำใจอะไรนั้น เขาดึงประตูรถให้เปิดกว้างพาตัวเองเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็วและออกรถแม้ว่าจะทำให้มโนรมจะเสียหลักจนแทบจะล้มไปคลุกฝุ่นเขาก็ไม่แยแส ภูวิศมองมโนรมด้วยความสมเพช ชายหนุ่มหัวเราะเยงดังอย่างไม่เก็บอาการเมื่อมโนรมยืนไอโขลกท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณหลังจากการเคลื่อนรถออกไปของจักรทิพย์
“หัวเราะอะไรยะ ฮึ่ย”
มโนรมหันมาตวาดใส่ภูวิศก่อนจะกระแทกเท้าตึงๆ เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ภูวิศหัวเราะจนไหล่สั่นระหว่างที่มองรถของมโนรมขับออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่คะ”
“ทำไม กลัวฉันจะพาเธอไปขายหรือไง อย่างเธอจะขายได้สักเท่าไรกันเชียว”
จักรทิพย์หันมาถามอย่างยียวนตอนที่เขาหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในไร่ไตรลักษณ์ในส่วนของบ้านพักคนงานแทนที่จะตรงไปที่บ้านอย่างที่มนตระการคิด
“ก็คุณจักรบอกว่าจะกลับบ้าน”
“ฉันมีธุระ”
“มีธุระแล้วทำไมไม่แวะส่งมนที่บ้านก่อนคะ”
“ทำไมฉันต้องทำตามความต้องการของเธอด้วย”
จักรทิพย์เลิกคิ้วพลางยกมุมปากใส่มนตระการด้วยท่าทางยียวน หญิงสาวอยากจะข่วนใบหน้าหล่อคมนั่นให้เลือดซิบ ดวงตาคู่สวยมองค้อนก่อนจะหันหน้าไปมองทัศนียภาพข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แทน จักรทิพย์เหลือบมองหญิงสาวก็กระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ
รถซีอาร์วีสีขาวมุกจอดที่หน้าบ้านพักของคนงาน ปกิตผู้จัดการไร่ก็พักอยู่ที่นี่ แต่บ้านพักของปกิตจะแยกเป็นสัดส่วนห่างจากบ้านพักคนงานที่สร้างเป็นห้องติดๆ กันคล้ายห้องแถวเอาไว้เช่าพอประมาณ และนี่ก็เป็นสวัสดิการของไร่ไตรลักษณ์ที่ให้คนงานอยู่ฟรี โดยจ่ายค่าน้ำค่าไฟแบบเหมาจ่ายในราคาถูกแสนถูก ตรงแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านพัก คนงานผู้ชายกำลังนั่งล้อมวงกันรวมถึงปกิตด้วย เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินและพวกเขาก็กำลังตั้งวงดื่มเหล้า พอเห็นรถเจ้านายเข้ามาก็พากันตกใจ ปกิตเป็นคนแรกที่รีบวางแก้วในมือลง รีบขยับเท้าไปถึงรถของจักรทิพย์ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวลงมา และยืนอยู่ข้างรถที่จักรทิพย์ค่อยๆ ลดกระจกลง ปกิตแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นมนตระการนั่งมาด้วย ผู้จัดการหนุ่มยิ้มน้อยๆ ทักทายมนตระการตามมารยาทก่อนจะดึงสายตามาที่จักรทิพย์
“คุณจักรมีอะไรหรือเปล่าครับ ลำบากมาถึงที่นี่เชียว มีอะไรก็โทร.มาบอกผมได้ครับ จะได้ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่”
“ตั้งวงกันอยู่ล่ะสิ”
“แหะๆ” ปกิตหัวเราะแห้งพลางเกาหัวแกรกๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่จักรทิพย์ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเพราะนี่เป็นนอกเวลางาน “พอดีคนงานไปได้หมูป่ามาครับก็เลยทำผัดเผ็ดกินกัน แต่จะให้กินผัดเผ็ดหมูป่าอย่างเดียวก็ไม่ค่อยอร่อย เราก็เลยจัดเหล้าป่ามาด้วย อร่อยเลยครับ คุณจักรอยากดื่มด้วยกันไหม”
ใจจริงจักรทิพย์ก็ไม่ได้อยากดื่มสักเท่าไร แต่พอหันไปเห็นคนที่นั่งหน้ามุ่ยข้างๆ จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากจะดื่มขึ้นมา
“ก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้ดื่มเหล้าป่ามานานแล้ว”
ว่าแล้วเขาก็ก้าวลงจากรถ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่มนตระการนั่ง หยิบถุงขนมที่วางอยู่บนตักหญิงสาวขึ้นมาถือ แล้วบอกให้อีกฝ่ายลงจากรถ
“ลงมา”
“มนไม่ลงค่ะ”
จักรทิพย์ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งตอนที่เรียกปกิตให้มารับถุงขนมไปจากมือ
“พี่ปกิต ผมฝากเอาขนมไปให้คนงานผู้หญิงหน่อย เอาไปแบ่งกัน แบ่งให้เด็กๆ ด้วย”
“ได้เลยครับ”
ปกิตรับถุงขนมไปอย่างกระตือรือร้นและนำถุงขนมไปส่งให้คนงานผู้หญิงที่อยู่แถวๆ นั้น จักรทิพย์ที่ยังไม่ละสายตาไปจากหญิงสาวที่นั่งหน้ามุ่ยกระตุกยิ้มมุมปาก
“ตกลงจะลงไม่ลง”
“ไม่ค่ะ”
มนตระการปฏิเสธและรั้งสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น มีคนงานอยู่มากมายจักรทิพย์คงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม นั่นคือความคิดที่อยู่ในหัวของมนตระการ แต่ไม่ใช่ความคิดที่อยู่ในหัวของจักรทิพย์
“เธอท้าทายฉันเองนะมนตระการ”