ตอนเย็นที่หอในของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง
ปัง!
เสียงเปิดประตูห้องพักดังปัง ตามด้วยเสียงรองเท้าผ้าใบกระแทกพื้นอย่างหมดแรงสองคู่
โมเมทิ้งตัวลงบนฟูกนอนโดยไม่ทันถอดกระเป๋า ลากเสียงบ่นตามมาอย่างไม่กลัวข้างห้องจะได้ยิน
“โอ๊ยยย เหนื่อยโว้ยยยย! รับน้องหรือรับกรรมวะเนี่ย ขวัญแกเห็นมั้ย? เราสองคนวิ่งเหมือนจะไปแข่งโอลิมปิก เหงื่อท่วมยันกางเกงใน!”
ขวัญข้าวหลุดหัวเราะกับท่าทางโอดครวญของเพื่อนสนิท
เธอวางกระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินไปเปิดพัดลมโบกหน้าเบา ๆ
“เพิ่งปีหนึ่งยังไม่ทันแก่เลย บ่นเป็นคนแก่ไปได้”
เธอพูดกลั้วหัวเราะ ขณะเริ่มแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตนักศึกษาทีละเม็ด
โมเมพลิกตัวหันมามองเพื่อนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วก็เบะปากใส่
“ไม่ใช่แค่เหนื่อยนะเว้ย แต่ฉันจะร้องไห้แล้วเนี่ย ไหนจะโดนพี่เขาจิก ไหนจะต้องทำคะแนน ไหนจะไปกิจกรรมที่ต่างจังหวัดอีก ฮือออ นี่ฉันไม่ได้มาเรียน ฉันมาลำบาก!”
ขวัญข้าวหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากปลายเตียงของตัวเอง
“อย่าดราม่าขนาดนั้นสิโมเม เราก็ต้องผ่านช่วงนี้ไปเหมือนคนอื่นนั่นแหละ คิดซะว่าเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ชีวิต…แบบวัคซีนรับน้องอะไรทำนองนั้น”
“ฮึ้ยย วัคซีนเหรอ! ฉันว่าฉันโดสเกินจนเกือบตายแล้วนะวันนี้!” โมเมดีดตัวลุกนั่ง
แล้วก็หัวเราะตามขวัญข้าวในที่สุด
ขวัญข้าวยิ้มจาง ๆ เธอเงียบไปนิดหนึ่งขณะหยิบเสื้อผ้าใส่ในห้องน้ำ
ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ แต่จริงจัง
“ฉันจะรีบอาบน้ำหน่อยนะเม…ว่าจะไปโรงพยาบาลเยี่ยมพ่อ”
โมเมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“อื้ม…พ่อยังไม่ดีขึ้นเหรอ?”
ขวัญข้าวส่ายหน้าน้อย ๆ
สีหน้าเธอแม้ไม่เศร้าจนน้ำตาไหล แต่ก็ไม่ได้สดใสเหมือนก่อนหน้า
“ยังต้องเฝ้าอาการอยู่ทุกวัน หมอเขายังไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ถึงจะดีขึ้นได้จริงจัง…ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปดูพ่อเลย พ่ออยู่คนเดียวบ่อย ๆ ฉันก็เลย…”
เสียงของเธอเบาลงตอนท้าย แต่โมเมก็พอจะเข้าใจได้
เพื่อนรักของเธอคนนี้ ถึงจะดูร่าเริงอ่อนโยน แต่ก็แบกอะไรไว้เงียบ ๆ ตลอด
“ขวัญ…ฉันขอโทษนะ ที่วันนี้บ่นไม่หยุดเลย” โมเมเอ่ยเสียงอ่อน
“ทั้งที่แกก็เหนื่อยเหมือนกัน แถมยังต้องไปดูแลคุณพ่ออีก”
ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มหวานให้เพื่อน
รอยยิ้มที่แม้จะมีความอ่อนล้าอยู่บ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง
“ไม่เป็นไรหรอกเม…ฉันไม่อยากให้คนอื่นต้องมารับรู้เรื่องที่บ้านบ่อย ๆ ด้วยซ้ำ แค่มีแกอยู่ด้วยก็พอแล้ว”
โมเมมองหน้าเพื่อน แล้วก็ยิ้มให้กลับก่อนจะเอ่ยขึ้นลอย ๆ
“แกแม่งเก่งว่ะ…ฉันไม่เห็นเก่งแบบนี้เลย”
ขวัญข้าวชะงักมือที่ถือเสื้อผ้าไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่พูดอะไร
ปล่อยให้เสียงฝักบัวกลบความรู้สึกบางอย่างที่ยังค้างอยู่ในอก
อีกด้าน
ณ ลานใต้ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์
บรรยากาศช่วงเย็นอ่อนแสง พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมตึกลงช้า ๆ กลุ่มรุ่นพี่ปีสามกำลังนั่งล้อมโต๊ะไม้ข้างตึก พัดลมเพดานหมุนแผ่ว ๆ ไม่ช่วยคลายร้อนมากนัก แต่บทสนทนาเรื่อง กิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ กลับร้อนยิ่งกว่า
“เอาเป็นทะเลมั้ยวะช่วงนี้? หน้าร้อนพอดี เด็กแม่งจะได้โดนแดดให้เข็ด!”
เสียงเป้ หนึ่งในหัวหน้ารับน้องเสนอขึ้นมาก่อนจะหัวเราะหึ ๆ ตามสไตล์คนแกล้งเก่ง
“ทะเลก็ดี มีทั้งกิจกรรม ทั้งน้ำ ทั้งลม แถมมีบิกินี่เผื่อเด็กมันเซอร์ไพรส์”
กัน พูดเสริมพร้อมกระดิกคิ้วล้อเลียน
เวธัสนั่งไขว่ห้างอยู่มุมโต๊ะ ใบหน้านิ่งเฉยตามสไตล์ ชายเสื้อเชิ้ตปล่อยลอย ๆ ตามลม มือถือกาแฟเย็นพลาสติกควงเล่น
“กูโอเค ทะเลก็ทะเล”
เขาพูดสั้น ๆ แบบไม่สนใจจะออกความเห็นมากนัก
“งั้นกูจองรีสอร์ตเลยนะเวย์?” เป้ถามย้ำ
เวธัสพยักหน้ารับเบา ๆ
ขณะนั้นเอง ราม เพื่อนสนิทที่สุดในกลุ่ม ก็วางแก้วน้ำลงแรง ๆ จนมีน้ำกระเด็นขึ้นขอบโต๊ะ
“ว่าแต่มึงเถอะเวย์…”
เสียงรามจริงจังขึ้นทันที
“วันนี้ที่มึงให้เด็กวิ่งรอบสนามสิบรอบโดยไม่มีน้ำกินน่ะ มันโหดไปปะวะ?”
เวธัสเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย
ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่เต็มไปด้วยการไม่ใส่ใจ
“พวกนั้นมันไม่ตายหรอก มึงอย่าโอเวอร์”
“กูไม่ได้โอเวอร์!” รามขึ้นเสียงเล็กน้อย
“แต่มึงก็ดูดิ น้องโมเมกับขวัญข้าวแม่งแทบจะล้มคาสนาม ไหนจะร้อนขนาดนั้น เดี๋ยวเป็นลมหัวฟาดพื้นขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?”
เวธัสกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะตอบโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเพื่อน
“ยัยขวัญนั่นไม่เปราะบางขนาดนั้นหรอก เชื่อดิ เธอไม่กล้าไปฟ้องใครด้วยซ้ำ”
รามจ้องหน้าเวย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ
“เวย์ มึงเกลียดขวัญข้าวขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
คำถามนั้น ทำให้ทุกคนในกลุ่มหยุดชะงัก
เวธัสเงียบไปเล็กน้อย สายตาเลื่อนต่ำคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง…ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ก็ไม่เชิงเกลียดหรอก…”
เขาหยุดไปนิดหนึ่ง แล้วสบตาราม
“แต่กูไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากให้ยืนหายใจอยู่ใกล้ ๆ กู…แค่นั้น”
คำพูดนั้นเย็นชาจนรามยังสะอึก
คนอื่นก็ได้แต่มองหน้ากันเงียบ ๆ
เวธัสกระดกกาแฟขึ้นจิบ ก่อนจะวางแก้วลงและยักไหล่เบา ๆ
“มึงไม่เข้าใจหรอก คนอย่างขวัญข้าวน่ะ…มันมีแต่ปัญหา”
รามพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ส่ายหน้าน้อย ๆ
“กูรู้อดีตมึงนะ แต่มันก็ผ่านมาตั้งสองปีแล้วป่ะวะเวย์”
เวธัสไม่ตอบกลับ
เขาแค่มองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีด้วยสายตาว่างเปล่า
บรรยากาศรอบโต๊ะกลับเข้าสู่ความเงียบอึดอัด
ก่อนที่กันจะเปลี่ยนเรื่องแบบงง ๆ เพื่อเบรกอารมณ์ตึงเครียดของเพื่อนในกลุ่ม
“เอ้า ๆ ทะเลก็ทะเลเว้ย! ขอแค่ได้แดด ได้เบียร์ ได้สาว…จะทะเลไหนก็ได้!”
เสียงหัวเราะแห้ง ๆ ดังขึ้นกลบความตึงเครียด แต่รามยังคงมองเพื่อนของเขาด้วยแววตาที่ทั้งเป็นห่วงและผิดหวัง
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอะไรที่ทำให้เวย์เย็นชากับผู้หญิงคนนั้นได้ขนาดนี้…ทั้ง ๆ ที่อดีตมันผ่านมาแล้ว