ณ หอในของมหาวิทยาลัย ที่ห้องน้ำในหอพักช่วงหัวค่ำ
~ซ่า ซ่า~
เสียงสายน้ำกระทบกับกระเบื้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
หยดน้ำอุ่นไหลผ่านแผ่นหลังขาวเนียนของหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนหลับตา ปล่อยให้มันไหลล้างทั้งคราบเหงื่อและความเหนื่อยล้าของวัน
มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นแตะไหล่ตัวเองเบา ๆ
ก่อนจะลูบผ่านลำคออย่างแผ่วเบา ราวกับอยากปลอบโยนตัวเองในความเงียบนี้
“ฮึ่ก…” เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเบา ๆ แม้เธอพยายามกลั้น ทว่าเสียงในใจมันกลับดังอย่างชัดเจนโดยไม่อาจห้ามได้
’ทั้งหมดนี้…มันเป็นเพราะฉันใช่ไหม?‘
ภาพในหัวเริ่มไหลย้อนกลับทีละฉาก
ภาพพี่สาวฝาแฝดที่ยิ้มเสมอ ไม่ว่าจะโดนเปรียบเทียบแค่ไหน
ภาพแม่ที่เคยหัวเราะกับเธอในครัว…ที่ตอนหลังกลายเป็นคนซึมเศร้า และจากไปอย่างเงียบงัน
ภาพพ่อที่เคยเข้มแข็ง กลับต้องนอนนิ่งไม่ไหวติงบนเตียงโรงพยาบาล
และ…ภาพของเวธัสที่มองเธอด้วยสายตาเย็นชา ราวกับเธอเป็นคนฆ่าทุกคนไปทีละคน
ขวัญข้าวพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ในขณะที่ยืนพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดแรง
“ถ้าตอนนั้นฉันไม่วิ่งออกมา…ข้าวก็คงไม่ต้องตาย…”
“ถ้าแม่ไม่ต้องเสียลูกที่ดีไปก่อน…แม่ก็คงไม่ตรอมใจตาย…”
“ถ้าพ่อไม่เสียสติจากความสูญเสีย…เขาคงไม่พา ‘คนแบบนั้น’ เข้ามาในบ้าน…”
เธอกัดริมฝีปากแน่น สายตาจ้องฝ้าอาบน้ำราวกับจะมองทะลุออกไปข้างนอก
น้ำตาผสมกับสายน้ำไหลลงจากแก้มโดยไม่อาจแยกออกว่าอะไรคือน้ำจากหัวใจ และอะไรคือน้ำจากฝักบัว
“ทุกอย่างพังเพราะฉัน…หรือเปล่า…”
เสียงสะอื้นเริ่มชัดเจนขึ้น เธอยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงไว้
“ข้าว…คุณแม่…คุณพ่อ…ฉันขอโทษนะ ฉันมันอ่อนแอเกินไป…”
เธอทรุดตัวลงนั่งที่พื้นห้องน้ำ สวมกอดตัวเองแน่นเหมือนคนหลงทางที่หมดสิ้นเรี่ยวแรง
เงาสะท้อนบนแผ่นกระเบื้องพื้นเผยให้เห็นหญิงสาวที่แตกสลายจากภายใน
“และแม้แต่วันนี้…”
“ฉันก็ยังถูกเกลียดจากคนที่ฉัน…เคยรักมากที่สุด...พี่เวย์”
~ก็อก ๆ~
จู่ ๆ เสียงเคาะประตูห้องน้ำเบา ๆ ดังขึ้น
โมเมที่อยู่ในห้องนอนถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ขวัญ… แกโอเคไหมอะ?”
เสียงของโมเมไม่ดัง แต่ก็ไม่ได้เบาจนฟังไม่รู้เรื่อง มันแฝงความกังวลปนอยู่ชัดเจน
ขวัญข้าวสะดุ้งเล็กน้อย มือเล็กรีบยกขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ น้ำที่ไหลมาจากหัวฝักบัวยังไม่ทันหยุด เธอก็พยายามสูดหายใจลึก ๆ เพื่อกลบเสียงสะอื้นที่ยังค้างอยู่ในลำคอ
พยายามฝืนตอบกลับเพื่อนสนิทให้เสียงเป็นปกติที่สุด
“อะ…อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันอาบแป๊บเดียวก็ออกไปแล้ว”
เธอเอื้อมมือไปคว้าผ้าขนหนูมาพันรอบตัว พยายามตั้งสติให้เรียบร้อยก่อนจะปิดฝักบัว แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกไปอย่างเงียบ ๆ
โมเมยืนรออยู่ตรงหน้าห้องน้ำ
สายตาคมแต่แฝงความอ่อนโยนกวาดมองเพื่อนรักจากหัวจรดเท้า พลันสบตากับแววตาที่แดงก่ำของขวัญ เธอก็ขมวดคิ้วทันที
โมเมเสียงอ่อนลง
“แกไม่โอเคเลยว่ะขวัญ… แกคิดว่าฉันจะดูไม่ออกเหรอ?”
ขวัญข้าวหลบตา พยายามยิ้มกลบเกลื่อน
“ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ… คงเพราะกิจกรรมรับน้องแหละ วิ่งตั้งเยอะ”
โมเมเดินเข้าไปใกล้ แล้ววางมือบนไหล่ขวัญข้าวเบา ๆ
“ไม่ใช่แค่เหนื่อยหรอก ฉันอยู่กับแกมาตั้งแต่ ม.ต้นนะ ขวัญข้าวที่ยิ้มตาแป๋วแบบนั้นน่ะ มันแกล้งยิ้มชัด ๆ”
ขวัญข้าวหลุบตาลง ยิ้มจาง ๆ ยังไม่ยอมพูดอะไร
โมเมจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แกไม่ต้องฝืนก็ได้ ฉันไม่รู้ว่าแกแบกอะไรไว้ในใจบ้าง…แต่ถ้ามันหนักจนจะล้มเมื่อไหร่ ก็ให้ฉันช่วยแบกบ้าง เข้าใจไหม?”
เรียวปากสีหวานพูดเสียงสั่นเล็ก ๆ
“ฉันไม่ได้อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง…”
“แต่ฉันอยากเป็นห่วง… ไม่ใช่เพราะสงสารนะ แต่เพราะแกคือเพื่อนรักของฉันไงขวัญ เวลาฉันเจ็บ แกก็อยู่ข้างฉันเสมอ แล้วตอนนี้ ทำไมถึงคิดว่าตัวเองต้องอยู่คนเดียว?”
ขวัญข้าวเงียบไปสักพัก ก่อนที่เสียงสะอื้นแผ่วเบาจะเล็ดลอดออกมา
เธอพึมพำอย่างแผ่วเบา
“บางทีมันก็รู้สึกเหมือน…แค่ฉันหายไป ทุกคนก็คงมีความสุขมากกว่านี้…”
โมเมน้ำเสียงเด็ดขาด
“อย่าพูดแบบนั้นอีกนะเว้ยขวัญ!”
เธอกอดเพื่อนรักแน่นแบบไม่ให้ปฏิเสธใด ๆ ได้อีก ก่อนจะกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก
“แกไม่รู้หรอก…ว่าคนที่ได้อยู่กับแก รู้สึกโชคดีแค่ไหน เพราะถึงโลกนี้จะใจร้ายกับแกยังไง แต่แกไม่เคยใจร้ายกับใครเลย อย่างเช่นกับฉัน ตอนมอต้น แกจำได้ไหมที่บ้านฉันมีปัญหา แกเอาเงินเก็บของแกมาช่วยฉัน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ ว่าจะได้คืนไหม ที่บ้านฉันจะได้คืนแกหรือเปล่า แกไม่เคยทัก ไม่เคยทวง แกดีกับฉันจริง ๆ ขวัญ”
“แกยังจำได้เหรอเม” ขวัญข้าวยิ้มจาง ๆ วันนี้โชคดีอย่างหนึ่งที่มีคนอยู่ข้าง ๆ อย่างโมเม
“แหม คนสำคัญใครจะจำไม่ได้ เอาละ แกไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวจะดึก”
“โอเค” เจ้าของใบหน้าสวยตอบพลางพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นเดินไปยังตู้เสื้อผ้า
หลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือบางหยิบกระเป๋าสะพาย เตรียมออกจากห้องพัก
“เม เดี๋ยวฉันจะไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมพ่อนิดนึงนะ”
“ไปคนเดียวไหวแน่นะ? ให้ฉันไปด้วยไหม?”
ขวัญข้าวยิ้มบาง ๆ ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร แกพักเถอะ วันนี้เหนื่อยกันทั้งวันแล้ว ฉันแค่ไปเยี่ยมแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ”
ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
ขวัญข้าวเดินตามทางเดินสีขาวสะอาดเงียบ ๆ จนมาหยุดหน้าห้องผู้ป่วยที่มีป้ายชื่อว่า
‘คุณวินัย ธารานี ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก’
เธอกำลังจะหมุนลูกบิดเข้าไป แต่เสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงคนหนึ่งกับเสียงผู้ชายหนุ่มก็ดังออกมาจากในห้องซะก่อน
หญิงสาวเสียงสูง หัวเราะเบา ๆ
“โอ๊ยย เดี๋ยว ๆ ลูกนี่นะ มาโรงพยาบาลแท้ ๆ ยังจะเล่นซนไม่เลิก”
เสียงชายหนุ่มหัวเราะทะเล้น
“ก็แม่สวยอะ พอเห็นแม่ยิ้ม ผมก็อดไม่ได้”
ขวัญข้าวชะงักไปทันที ใบหน้าเธอเย็นลง ก่อนผลักประตูเข้าไปช้า ๆ
จากนั้นแม่เลี้ยงนางวรรณีเงยหน้าขึ้น ยิ้มจาง ๆ
“อ้าว หนูขวัญ มาแล้วเหรอลูก?”
น้ำเสียงหญิงตรงหน้านุ่มแต่ฟังแล้วรู้สึกถึงความจงใจและการเล่นบทแม่พระปลอม ๆ
ขวัญข้าวยกมือไหว้เบา ๆ ก่อนกวาดสายตาไปที่เตียงพ่อ แล้วเลื่อนไปมอง ไบรอันลูกชายติดแม่เลี้ยงที่กำลังเอนหลังพิงโซฟา ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้
ขวัญข้าวพูดเสียงเรียบ
“ฉันแวะมาเยี่ยมคุณพ่อค่ะ อาการวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ก็…ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ หมอบอกว่าต้องรักษาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ… แต่ลูกก็รู้ใช่ไหม ว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะมากขึ้นทุกวัน”
ขวัญข้าวพยักหน้า กำมือแน่น เธอรู้ดีว่าตอนนี้เธอเป็นคนเดียวที่ยังหางานพิเศษ ส่งเงินค่าโรงพยาบาลมาทุกเดือน เพราะเงินเก่าของบ้านแทบจะไม่พอใช้
ส่วนไบรอันพูดเสียงกรุ้มกริ่ม
“จริงสิขวัญ… ถ้าน้องเหนื่อยมาก พี่ก็มีวิธีช่วยอยู่นะ”
ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้น มองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ อย่างรู้ทัน
“ฉันไม่สนใจข้อเสนอของนาย ไบรอัน… และก็ไม่อยากให้มาพูดเรื่องแบบนี้ในห้องพ่อฉันด้วย”
ไบรอันยักไหล่ ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็แค่หวังดีนะครับ อย่าคิดมากเลย พี่น่ะ…แค่เป็นห่วง อยากให้ขวัญมีชีวิตสบายขึ้น ไม่ต้องดิ้นรนทุกวันแบบนี้น่ะสิ”
แม่เลี้ยงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“ไบรอันพูดเล่นน่ะลูก อย่าใส่ใจเลย… แต่เอาเข้าจริง แม่ก็อยากให้เรารักกันเหมือนครอบครัวจริง ๆ นะ พ่อขวัญก็คงดีใจ ถ้าเห็นพวกเราสนิทกันมากกว่านี้”
คนตัวเล็กหน้านิ่ง พูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ครอบครัวเหรอคะ? ถ้าคุณหมายถึงครอบครัวที่ดูดเงินพ่อจนหมด แล้วตอนนี้พ่อกลายเป็นอัมพาตนอนอยู่ตรงนี้ ฉันคงต้องขอบายจากความสนิทแบบนั้นค่ะ”
แม่เลี้ยงชะงัก ยิ้มเริ่มฝืน ๆ
ไบรอันลุกขึ้น เดินเข้ามาใกล้ ๆ เหมือนจะหาเรื่อง
ขวัญข้าวไม่ถอย กลับมองเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน
จากนั้นขวัญข้าวพูดเสียงนิ่งแต่กดดัน
“ถ้าอยากอยู่ดี ๆ กัน ก็ถอยออกไปจากชีวิตฉันเงียบ ๆ อย่าล้ำเส้น และอย่าแตะต้องเงินที่ฉันส่งมาเพื่อพ่อแม้แต่บาทเดียว”
แม่เลี้ยงเสียงเริ่มแข็ง
“หนูขวัญ! พูดแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ!?”
เรียวปากสีหวานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ไม่เกินไปค่ะ ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณทำกับครอบครัวฉันมา”
ขวัญข้าวหันไปสบตาพ่อที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง สีหน้าของเธออ่อนลงเพียงนิดเดียว ก่อนจะเดินไปจับมือพ่อเบา ๆ
ขวัญข้าวเสียงสั่นเล็กน้อย
“พ่อคะ… รีบ ๆ หายนะคะ ”