“มีแม่อยู่จะไม่หายดีได้ยังไงล่ะจ้ะ” แม่เลี้ยงวรรณีพูดคล้ายจะต้องการอะไรสักอย่าง
“พูดมาเลยค่ะ คุณต้องการอะไร” เรียวปากสีหวานถามกลับอย่างรู้ทัน
“ไม่มีอะไรจ้ะ แค่แพมเพิร์สของพ่อลูกน่ะ มันจะหมดแล้วน่ะสิ อีกอย่างนึงถ้าซื้อในโรงพยาบาลแพงกว่าข้างนอกตั้งเยอะ....”
“เดี๋ยวหนูซื้อให้ค่ะ” ขวัญข้าวรีบพูดตัดบท กลัวว่าหญิงตรงหน้าจะขออะไรมากกว่านี้
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วย จะขับรถไปส่ง” ไบรอันพูดพลางส่งสายตาบอกผู้เป็นแม่
ขณะเดียวกันคนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจอย่างจำยอม ถ้าไบรอันไปส่งก็คงประหยัดค่ารถไปกลับ ตอนนี้อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด
ไม่นานก็มาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
เวลา19.00 น. แสงไฟภายในห้างส่องกระทบใบหน้าเศร้าหมองของหญิงสาวตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างรถเข็น
ขวัญข้าวเดินจ้ำเท้าโดยไม่พูดอะไรตั้งแต่ลงจากรถ สีหน้าของเธอเรียบเฉย หากแต่แววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความกดดัน และความอึดอัดที่ยากจะระบายออกมา
“ก็จริง… ที่แม่เลี้ยงพูดก็ไม่ผิด” เธอคิดขณะเดินเข้าไปในโซนผู้สูงอายุ
“ซื้อแพมเพิร์สในโรงพยาบาลมันแพงเกินไป… ถ้ามาซื้อที่นี่ก็คงประหยัดได้บ้าง”
หญิงสาวหยิบของจำเป็นใส่ตะกร้าเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูยอดเงินในบัญชี แสงจากหน้าจอสะท้อนเข้าดวงตาสีน้ำผึ้งที่ตอนนี้แดงก่ำ
ปากหวานพึมพำเบา ๆ
“เหลือแค่นี้เอง… ค่าเทอมยังไม่จ่าย ค่าหอ ค่าไฟ ค่าหนังสือ…”
ภาพในหัวของเธอหมุนวนไปมาราวกับม้วนฟิล์มที่เต็มไปด้วยฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เคยมี… พี่สาวที่เสียไป… แม่ที่จากไป… พ่อที่ป่วยเป็นอัมพาต… และแม่เลี้ยงที่เข้ามาพร้อมลูกชายที่เหมือนพายุร้าย ชีวิตน้อย ๆ ของเธอต้องแบกรับเรื่องที่หนักตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้เชียวเหรอ
เมื่อเลือกซื้อของจนครบเธอกำลังจะเดินไปจ่ายเงิน ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาตลอดทางก็ดังขึ้น
ไบรอันลูกติดแม่เลี้ยง พูดเสียงดังราวกับไม่มีใครอยู่
“เฮ้ย! พอดีเห็นมีโปรน้ำอัดลมแถมขนม เลยหยิบมาแล้วนะ น้องพี่ใจดีจังเลยนะ วันนี้เลี้ยงด้วย!”
ขวัญข้าวหันขวับ เสียงเริ่มสั่น
“คุณจะหยิบอะไรนักหนาคะ!? นี่มันของกินเล่น ไม่ใช่ของจำเป็น แล้วเงินก็ไม่ใช่ของคุณด้วย!”
เธอก้มลงมองตะกร้าอย่างหมดความอดทน ขนมแพง ๆ บุหรี่ซองหนึ่ง ถุงยางอนามัย และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกสองขวด
“คุณไม่มีสิทธิ์หยิบอะไรใส่ตะกร้าโดยพลการแบบนี้นะคะ ฉันมาซื้อของให้พ่อ!”
ไบรอัน หัวเราะเยาะ ขยับแว่นตาดำที่ห้อยอยู่ที่คอ
“โอ๊ยยยย! ก็เห็นว่าเธอเป็นลูกสาวแสนดีไง เลยช่วยแบ่งเบาภาระให้ไง ไม่เห็นต้องทำหน้าซีดขนาดนั้นเลยน้องสาว”
ขวัญข้าวตาแดง เสียงแข็งขึ้น
“คุณขายของในบ้านฉันไปหมดแล้ว เอาเงินไปเล่นพนันจนไม่เหลืออะไร… หุ้นบริษัทที่แม่กับพ่อช่วยกันสร้างขึ้น คุณกับแม่คุณก็ขายทิ้ง เอาเงินไปใช้จนหมด”
ไบรอันทำเสียงเบื่อ ๆ พลางยักไหล่
“พูดเหมือนฉันเป็นผู้ร้ายในละครเลยนะขวัญ เธออย่าลืมนะ ว่าตอนนี้พ่อเธอก็อยู่ในความดูแลของแม่ฉัน…”
เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ หยุดพูดพลางยิ้มเย็นที่มุมปาก
ไบรอันเสียงเบาแต่แฝงความขู่
“ถ้าเธอยังทำตัวจู้จี้แบบนี้ล่ะก็… ฉันจะบอกแม่ให้ถอนตัว ไม่ดูแลพ่อเธออีก… แล้วเธอจะได้รู้ว่าพ่อเธออยู่คนเดียวมันทรมานแค่ไหน”
ขวัญข้าวนิ่งไปครู่หนึ่ง
เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจลึก กดอารมณ์ที่เดือดปุด ๆ ในอก แล้วพูดออกมาเสียงเรียบแต่ชัดเจน
“…ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณอยากได้มากนัก… ก็หยิบไปเถอะ…”
เธอชี้ไปที่ของในตะกร้าแล้วเสริมเสียงหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย
“แต่แค่เท่านี้นะคะ ไม่ใช่เงินของคุณ อย่ามาใช้เหมือนเป็นของเล่น ถ้าคุณยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง…”
ไบรอันยักคิ้ว กดโทรศัพท์พลางหัวเราะ
“โอเคครับคุณน้องแม่พระ… ไปจ่ายเงินกันเถอะ เดี๋ยวเธอจะได้รีบกลับไปดูพ่อสุดที่รักด้วย”
ขวัญข้าวเม้มริมฝีปากแน่น ยืนก้มหน้าจ่ายเงิน โดยมีไบรอันเดินกระดี๊กระด๊าออกไปก่อนแล้ว หญิงสาวได้แต่มองยอดรวมในใบเสร็จ ก่อนจะยัดมันลงในกระเป๋าอย่างเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดใดหลุดจากริมฝีปากนอกจาก
“อดทนไว้ขวัญ…เพื่อพ่อ”
ณ ลานจอดรถห้าง ใต้แสงไฟฟลูออเรสเซนต์สีซีด
ตึก ตึก ตึก!
เสียงรองเท้าผ้าใบเบา ๆ กระทบพื้นคอนกรีต ขวัญข้าวเดินกลับมาที่รถในลานจอดเงียบงัน ใบหน้าหวานซีดเผือดหลังจากเช็กยอดเงินในบัญชี มันลดลงจนเกือบจะติดลบ… ถุงแพมเพิร์สในมือเธอดูจะหนักขึ้นกว่าตอนที่หยิบออกจากชั้นวาง
เธอเปิดท้ายรถเพื่อเก็บของโดยไม่พูดอะไร ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจถาโถมไม่หยุด
ฟึ่บ!
“ว้าย!”
จู่ ๆ มือสาก ๆ หนึ่งก็เอื้อมมาข้างหลัง ลูบไล้สะโพกของเธออย่างจาบจ้วง
ขวัญข้าวสะดุ้งโหยง หันขวับไปด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไบรอัน!” เสียงเธอสั่นเครือ “คุณทำอะไร!”
เธอง้างมือจะตบหน้าเขาด้วยความโกรธ
หมับ!
ไบรอันคว้าข้อมือเธอไว้ได้ก่อน แรงบีบของเขาทำให้ขวัญเจ็บจนขมวดคิ้วแน่น
ไบรอันยิ้มเหี้ยม ๆ
“อย่าทำเป็นใสซื่อเลยขวัญ… อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ ว่าเธอก็มีใจ”
ขวัญข้าวน้ำเสียงสะบัด ร่างกายสั่นเทา
“คุณบ้าไปแล้ว! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ไบรอันกระซิบเสียงต่ำ
“พี่ช่วยดูแลพ่อให้เธออยู่ไม่ใช่เหรอ… เธอแค่ต้องทำตัวดี ๆ กับพี่… ก็เท่านั้นเอง”
ขวัญข้าวพยายามดิ้น
“คุณมันเลว! พ่อฉันไม่ใช่เครื่องต่อรอง!”
“งั้นเหรอ… ถ้างั้นก็ลองบอกแม่พี่ดูสิ ว่าไม่ต้องดูแลพ่อเธออีกแล้วก็ได้”
ทันใดนั้นเอง
ปี๊บบบบบบ!!
เสียงแตรรถดังแทรกเข้ามาอย่างแรง ทำเอาทั้งคู่ชะงัก ร่างสูงของใครบางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มเดินลงมาจากรถฝั่งตรงข้าม ก้าวช้า ๆ มาหยุดไม่ไกลจากทั้งสองคน
ขวัญข้าวหันไปมอง แล้วก็ต้องชะงัก น้ำในตาไหลซึมอย่างไม่รู้ตัว
เวธัส…
อดีตคู่หมั้นของ ข้าว พี่สาวฝาแฝดของเธอ ใบหน้าเขายังคงหล่อเหลา เย็นชา และเต็มไปด้วยอำนาจอย่างที่เคย
เวธัสยืนนิ่ง พูดเสียงเรียบ
“ดูเหมือนจะ…สนุกกันใหญ่เลยนะ”
ขวัญข้าวสะอึก กำมือแน่น ขณะที่ไบรอันแสยะยิ้ม ราวกับตีความผิดไปคนละทาง
ไบรอันหัวเราะเบา ๆ
“อ้าว แกก็มาเดินห้างเหมือนกันเหรอเนี่ย?”
เวธัสมองขวัญข้าว สายตานิ่งเย็น
“ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะ… ถ้าอยากแสดงความรัก ก็เลือกที่ให้มันเหมาะสมกว่านี้หน่อย”
คำพูดนั้นเย็นชา… ไม่ใช่กับไบรอัน แต่กับเธอ
ขวัญข้าวเบิกตากว้าง พูดเสียงแผ่วอยากจะอธิบาย
“ไม่ใช่นะ… มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด…”
แต่เวธัสพูดตัดบทสนทนาทันที
“ฉันไม่คิดอะไรหรอก เธอจะคบกับใครก็สิทธิ์ของเธออยู่แล้ว”
ไบรอันเสริมด้วยเสียงหัวเราะ
“เห็นไหมล่ะ พี่เขาเข้าใจเราดีขวัญ”
ขวัญข้าวกำลังจะพูดอะไรออกไป แต่คำมันติดอยู่ในลำคอ เธอได้แต่มองเวธัสอย่างเจ็บปวด
ขวัญข้าวเสียงสั่น
“พี่เวย์เข้าใจผิด…”
เวธัสปรายตามองเธอด้วยแววตาเยือกเย็น
“จะผิดหรือไม่ผิด มันไม่สำคัญแล้วล่ะ ขวัญ…”
เขาหันหลังกลับ เดินไปยังรถของตัวเองโดยไม่หันกลับมามองอีก ร่างสูงของเขาดูห่างไกล และเย็นชาราวกับไม่มีอะไรผูกพันกันอีกต่อไป
เสียงประตูรถปิด ปัง! ดังขึ้น ก่อนที่รถของเขาจะแล่นออกไปช้า ๆ เหลือไว้เพียงเธอกับไบรอัน… และหัวใจที่เหมือนถูกบีบจนแทบแตกสลาย
ขวัญข้าวกระซิบกับตัวเอง เสียงสั่นพร่า
“…พี่มองฉันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ…”