หลังจากเวธัสขับรถจากไป
เสียงเครื่องยนต์ของรถหรูหายลับไปกับความมืด ทิ้งไว้เพียงความเงียบและลมหายใจร้อนผ่าวของคนสองคน
ไบรอันหันมามองเธอ แล้วส่ายหัวพลางยิ้มเยาะเย้ยในลำคอ
“หึ…ผู้ชายคนนั้นคงไม่แคร์เธอสักเท่าไหร่หรอกมั้ง อย่างว่าแหละคู่หมั้นของพี่สาวนี่นา ไม่ใช่คู่หมั้นของเธอ”
เขาพูดเสียงเบาแต่จงใจให้ได้ยินชัดเจน
ดวงตาไบรอันกวาดมองขวัญข้าวอย่างพินิจ เหมือนนักล่าที่มองเหยื่อในกรง เขาก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะพยักเพยิดไปที่รถของตัวเอง
“ขึ้นรถสิ อย่าเสียเวลาทำหน้าสลดเลยน่า”
ขวัญข้าวเม้มปากแน่น ดวงตากระพริบถี่เพื่อไล่น้ำตาที่คลอหน่วย ร่างเล็กยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
ภายในรถบรรยากาศอึมครึมกดดัน
เสียงประตูรถดัง ปัง เมื่อึนตัวเล็กนั่งประจำที่เรียบร้อย กลิ่นน้ำหอมราคาแพงและควันบุหรี่จาง ๆ ในรถทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง
ไบรอันไม่พูดอะไรทันที เขาแค่ขับรถออกจากลานจอด พร้อมเปิดเพลงเบา ๆ แต่เสียงนั้นกลับยิ่งตอกย้ำความเงียบในใจเธอ
ไม่นานเขาก็เอ่ยขึ้น…
ไบรอันเสียงนุ่มแต่เจ้าเล่ห์
“รู้ไหม…ผู้หญิงแบบเธอมันน่ารำคาญตรงที่ปากบอกไม่ชอบให้ฉันแตะต้อง แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธให้ชัด ๆ สักที แบบนี้เขาเรียกอ่อยนะ”
ขวัญข้าวตอบเสียงแผ่ว
“…เพราะฉันไม่มีทางเลือก”
ไบรอันหัวเราะในลำคอ
“อย่ามาทำเป็นนางเอกละครหน่อยเลย เธอแค่รู้ว่าต้องพึ่งฉัน ต้องยอมฉัน เพราะพ่อของเธอก็อยู่ในมือแม่ฉันไง ใช่มั้ย?”
ขวัญข้าวไม่ตอบ เธอก้มหน้าลงช้า ๆ พยายามกลืนความรู้สึกอึดอัดในลำคอ ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกหน้าต่างทำให้หัวใจเธอหวิววาบ
“ใช่…ฉันมันอ่อนแอ”
เธอคิดในใจ
“อ่อนแอจนต้องยอมจำนนให้กับสภาพแวดล้อมเพียงเพื่อให้พ่อยังได้รับการดูแล แม้คนดูแลจะเป็นคนที่ฉันไว้ใจไม่ได้เลยก็ตาม…”
ไบรอันหันมามองเธอชั่วแวบ
“จริง ๆ เธอก็น่ารักนะขวัญ… ถ้าไม่ทำตัวปากแข็งนัก ยอมให้พี่สักทีสองที พี่อาจจะใจดีด้วยมากกว่านี้ก็ได้”
ขวัญข้าวพูดเสียงเรียบ อย่างช้า ๆ
“อย่าใช้คำว่าใจดีกับการที่คุณล้ำเส้นคนอื่นเลยค่ะ”
ไบรอันหัวเราะเบา ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีคำพูดโต้ตอบ เขาแค่หันไปมองถนนข้างหน้า สายตาเป็นประกายร้าย ๆ เหมือนกำลังรอเวลา
ขวัญข้าวได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลเงียบ ๆ อาบแก้ม เธอรู้ว่าไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครเข้าใจ
เธอเพียงหวังว่า…วันหนึ่งจะมีใครสักคนช่วยดึงเธอออกจากความมืดมิดนี้ได้
ณ โรงพยาบาล ห้องพักพิเศษของคุณวินัย
รถยนต์จอดสนิทตรงหน้าอาคาร ขวัญข้าวลงจากรถโดยไม่มีเสียงบ่น ไม่มีคำพูด ไม่มีความช่วยเหลือใด ๆ จากไบรอัน
เธอเปิดประตูท้ายรถ หยิบถุงแพมเพิร์สกับของใช้ที่ซื้อมาด้วยตัวเอง แม้ของจะเยอะจนต้องโอบไว้เต็มสองแขน แต่คนในรถก็ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นความรู้สึกขุ่นมัวไว้ แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปในอาคาร ท่ามกลางสายตาเมินเฉยจากคนที่นั่งอยู่ในรถ
ภายในห้องพักพิเศษ บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะ
ขวัญข้าวเปิดประตูเข้ามาอย่างเบามือ เธอก้มศีรษะเล็กน้อยให้พยาบาลที่เดินสวนออกไป ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างเตียง
พ่อของเธอนอนนิ่ง สายตามองเพดานอย่างว่างเปล่า แขนขาไม่มีแรงขยับ ใบหน้าแม้ซีดเซียวแต่ก็ยังคงเค้าเดิมของคนที่เคยแข็งแรงและเข้มแข็ง
ขวัญข้าววางของไว้ข้างเตียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะลากเก้าอี้ไม้เข้ามาใกล้ แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างแผ่วเบา
เรียวปากสีหวานพูดเสียงนุ่ม แต่แฝงความเศร้า
“คุณพ่อ… ขวัญมาแล้วนะคะ วันนี้ซื้อแพมเพิร์สกับของใช้มาให้เพิ่ม เดี๋ยวจะวางไว้ตรงนี้ พยาบาลจะได้หยิบใช้สะดวก”
เธอหยุดนิ่ง มองมือของพ่อที่วางอยู่บนผ้าห่ม ก่อนจะเอื้อมไปจับเบา ๆ ลูบไล้อย่างแผ่วเบา เหมือนต้องการปลอบทั้งเขาและตัวเอง
ขวัญข้าวเสียงยังคงอ่อนโยน แต่เริ่มสั่น
“ขวัญอาจจะไม่ได้มาหาหลายวันนะคะ ช่วงนี้ที่มหาลัยมีกิจกรรมรับน้อง…ต้องไปต่างจังหวัดกันหลายวันเลย”
“คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ขวัญจะรีบกลับมาหา”
เธอยิ้มจาง ๆ ทั้งที่น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
ขวัญข้าวเสียงแผ่วลง เหมือนกระซิบ
“ขวัญขอโทษนะคะ… ที่บางครั้งมาไม่บ่อยเท่าที่ควร ขวัญพยายามแล้วจริง ๆ… พยายามจะรักษาทุกอย่างให้ดีที่สุด ทั้งคุณพ่อ ทั้งบ้าน ทั้งชีวิตของขวัญเอง…”
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงบนหลังมือของพ่อ
“…แต่บางทีมันก็ยากเหลือเกินค่ะ”
เงียบงัน ไม่มีคำตอบกลับมา มีเพียงเสียงชีพจรที่ยังดังอยู่ และสัมผัสอุ่น ๆ จากมือของพ่อที่แม้ไม่ตอบสนอง แต่ยังคงทำให้เธอรู้สึกว่า…เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเสียทีเดียว
ขวัญข้าวยกหลังมือขึ้นซับน้ำตาอย่างรวดเร็ว แล้วสูดหายใจเข้า
พูดเหมือนกำลังให้กำลังใจตัวเอง
“เดี๋ยวทุกอย่างมันต้องดีขึ้นใช่ไหมคะคุณพ่อ… ขวัญจะพยายามให้มากกว่านี้ จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
เธอยิ้มให้เขา แม้เป็นรอยยิ้มที่เจือความหม่น แต่ก็เปี่ยมด้วยความรักและความอดทนที่ฝืนลุกขึ้นสู้ในทุกวัน
ก่อนจะลุกขึ้น หยิบผ้าห่มมาห่มให้พ่ออีกครั้ง แล้วค่อย ๆ เดินออกจากห้อง ปิดประตูอย่างเงียบงัน
ขณะนั้น แม่เลี้ยงของเธอก็เดินเข้ามา และขอคุยกับเธอ คนตัวเล็กพยักหน้า จากนั้นเดินออกมาจากห้องพักพิเศษของพ่อ ตรงมายังสวนหย่อมของโรงพยาบาล
ณ สวนหย่อมของโรงพยาบาล ช่วงเวลาสองทุ่ม แสงไฟนีออนอ่อน ๆ ส่องลอดต้นไม้ บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องเบา ๆ กับเสียงลมพัดใบไม้ปลิวไหว
ขวัญข้าวเดินตามแม่เลี้ยงออกมาจากห้องพักพิเศษของพ่อ สีหน้าของเธอเรียบเฉยแต่ใจกลับกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าการเรียกคุยครั้งนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
เมื่อมาถึงม้านั่งในสวนหย่อม แม่เลี้ยงหยุดเดิน แล้วหันหลังมามองเธอด้วยแววตาที่แม้จะเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยอำนาจเหนือกว่า
วรรณีพูดเสียงนิ่ง ๆ แต่มีน้ำเสียงประชดเล็กน้อย
“นั่งสิ ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย…เรื่องอนาคตของเธอ และตระกูลธารานี”
ขวัญข้าวนั่งลงช้า ๆ ข้างแม่เลี้ยง สองมือประสานบนตักอย่างเรียบร้อย แววตาหวั่นไหวเล็กน้อยแต่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้
จากนั้นแม่เลี้ยงเริ่มพูดเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
“อืม...หลังจากที่ข้าว…พี่สาวฝาแฝดของเธอ ตายไป ตระกูลอัศวเมฆาก็ถอนหมั้นกับตระกูลธารานีไปเลยทันที”
เธอเว้นจังหวะนิดหนึ่ง พลางปรายตามองขวัญข้าว
แม่เลี้ยงเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย
“และเธอก็น่าจะรู้ดี…ว่าหลังจากนั้นทุกอย่างของบ้านนี้ ก็เริ่มพังลงเป็นโดมิโน พ่อของเธอก็ทำงานไม่ได้ ต้องนอนอยู่โรงพยาบาล เงินเก่าของบ้านที่สะสมมาก็ถูกใช้จ่ายจนแทบไม่เหลือ ถ้ายังไม่มีใครหาเงินเข้ามา บ้านนี้ก็ล้มแน่”
ขวัญข้าวเม้มปากแน่น หัวใจเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น
แม่เลี้ยงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันจะบอกวิธีเอาตัวรอดให้เธอเอง…รีบหาทางให้เวธัสหมั้นกับเธอให้ได้ เธอหน้าตาเหมือนพี่สาวเป๊ะ ๆ อยู่แล้ว จะหลอกให้เขารักก็ยังได้ด้วยซ้ำ ถ้าเธอฉลาดพอ”
ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและขุ่นเคือง
แล้วเสียงสั่นแต่พยายามพูดให้มั่นคง
“พี่เวย์…เขาไม่ได้ชอบขวัญค่ะ แล้วขวัญก็ไม่คิดจะหลอกใคร ขวัญไม่ใช่พี่ข้าว…ยังไงเขาก็ไม่มีใจ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า แม่เลี้ยงตัดบททันที น้ำเสียงกระแทก
“ไม่เกี่ยวหรอกว่าใครจะชอบใคร! ผู้ชายพวกนั้นไม่ได้ต้องการความรักหรอก เขาต้องการภาพลักษณ์ ต้องการคนที่คู่ควรอยู่ข้างกาย และเธอ…เธอมีใบหน้าเหมือนพี่สาวเธอมากพอจะสร้างภาพลวงตานั่นขึ้นมาใหม่ได้”
แม่เลี้ยงหัวเราะในลำคอ พลางเอนหลังพิงม้านั่ง
ก่อนจะพูดอย่างเหยียดหยัน
“เธอสวยนะขวัญ…แต่ก็น่าเสียดายที่ฉลาดน้อยกว่าพี่สาวไปหน่อย ถ้าใช้หน้าตาให้เป็นประโยชน์บ้าง ชีวิตจะไม่ลำบากขนาดนี้หรอก”
คำพูดนั้นเหมือนตบหน้าขวัญข้าวด้วยฝ่ามือมองไม่เห็น ดวงตาเธอร้อนผ่าว ขอบตาแดงเรื่อ แต่ยังฝืนยิ้มเล็ก ๆ อย่างคนที่ไม่อยากให้ความอ่อนแอปรากฏออกมา
ขวัญข้าวเสียงสั่นพร่า แววตาเจ็บปวด
“แล้วถ้าขวัญไม่ทำล่ะคะ… จะเป็นยังไง…คุณแม่จะเลิกดูแลคุณพ่อใช่ไหม”
วรรณียักไหล่เบา ๆ ทำเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นนะ…แต่เธอก็รู้นี่ ว่าการดูแลคนป่วยมันต้องใช้เงิน…และฉันไม่มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ใช่สามีฉันแท้ ๆ …แล้วเธอเองล่ะ? จะทำอะไรได้บ้างนอกจากเป็นเด็กจน ๆ ที่เกาะบ้านอยู่”
ขวัญข้าวเม้มปากแน่น ไม่ตอบอะไรอีก เธอลุกขึ้นช้า ๆ พยายามรักษาสมาธิและศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุด
เรียวปากสีหวานพูดเสียงเรียบแต่แน่วแน่
“ขวัญจะหาทางดูแลพ่อเองค่ะ…โดยไม่ต้องแลกอะไรที่ขวัญไม่เต็มใจ และคนอื่นเองก็ไม่ได้เต็มใจ”
พูดจบเจ้าของร่างบางก็เดินจากไป ทิ้งแม่เลี้ยงไว้บนม้านั่งในสวนหย่อม ใบหน้าเรียบนิ่งของแม่เลี้ยงคลี่ยิ้มมุมปาก เหมือนพึงพอใจกับการกดดันที่ได้ผลแม้เจ้าตัวจะยังไม่ยอมแพ้