“แล้วไอ้คนที่มันรอรับเธอกลับหอตั้งแต่เย็นนี่มันไม่มีอะไรดีเลยล่ะสิ ใช่ไหม...พูด”
พออีกฝ่ายทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาบ้าง น้ำอิงก็หงอลง
“รอฉันเหรอ ไม่รู้นี่นึกว่ามาเชียร์เพื่อนเฉย ๆ” ได้ฟังประโยคนั้นนธีกลอกตามองบน
“เชียร์เพื่อ? ก็บอกอยู่ว่าเชียร์มันก็ไม่ชนะหรอก มันไม่ได้ซ้อมกัน ถ้าไม่เห็นว่าเธอกลับมืด ๆ คนเดียวฉันกลับบ้านนอนสบายไปแล้วน้ำอิง”
น้ำอิงหน้าเสียไปเมื่อร่างสูงพูดแค่นั้นแล้วลุกออกไปไม่ได้ลาเพื่อนที่เพิ่งจะแพ้กลับมาซักนิด เธอจึงโบกมือลาเพื่อนที่ยังไม่ได้พูดกันซักคำไปลวก ๆ แล้วรีบลุกเดินตามคนที่สาวขายาว ๆ เดินไปไกลแล้ว
“นธี! เดินช้าหน่อย เหนื่อย”
“แล้ววิ่งตามมาทำไม”
“เอ้า ก็นายจะไปส่งไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่อยากไปแล้ว”
คนที่หอบหายใจเหนื่อยจากการวิ่งตามเขามายังที่รถอ้าปากค้างเมื่ออีกฝ่ายเปิดรถแล้วขึ้นไป แต่พอเธอจะเปิดอีกด้านรถก็ล็อกไปแล้ว
“นธี...เปิดประตูให้หน่อย ไปส่งหน่อย”
มือเล็กเคาะกระจกฝั่งตรงข้ามคนขับ ผู้คนเริ่มทยอยออกมาจากสนามเนื่องจากการแข่งขันจบแล้วก็เริ่มหันมามองเธอที่ยืนเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว ร่างสูงที่อยู่ด้านในยกยิ้มสะใจกับท่าทางที่หันซ้ายหันขวาอายสายตาคนแล้วหันกลับมาทำหน้างอแง
หวืดด!!
กระจกฝั่งน้ำอิงถูกลดลง ตาแป๋วก็มองเข้ามาปะทะคนที่แกล้งเธออยู่ด้านในซึ่งกำลังยกยิ้มเยาะ
“ธี...คนมองเยอะแล้ว อย่าแกล้ง”
“เธอจะมาอะไรกับคนไม่มีอะไรดีอย่างฉัน”
“เปิดก่อนเหอะนะ อายคน”
“ไม่...อยากให้ไปส่งก็อ้อนกันหน่อย คนสวย”
น้ำอิงแทบจะกรี๊ดใส่ไอ้ผู้ชายกวนประสาทตรงหน้าให้แก้วหูแตก แต่เห็นเธอไม่ยอมพูดอะไรกระจกก็ถูกดันขึ้นจนมันแทบสนิทเธอก็ละล่ำละลักพูด
“ไม่มีใครดีเท่าธีแล้ว! ไปส่งอิงหน่อยย”
คลิก!
เปิดซักที ไอ้บ้าเอ๊ย!
เมื่อหูได้ยินเสียงปลดล็อกเธอก็รีบเปิดไปก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจแล้วแกล้งเธอเกาะประตูให้ขายขี้หน้าคนอื่นอีก พอขึ้นมาได้คนตัวเล็กก็จิกสายตาคาดโทษใส่เขาทันที แต่ใบหน้าหล่อก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกับมองไม่เห็น
“หิวอ่ะ ร้านก๋วยเตี๋ยวใต้หอเธอปิดยัง”
“ยังเลย ปิดดึกประมาณสามทุ่มครึ่งนู่นแหละ”
“เธอเลี้ยงหน่อยดิ”
“โหธี ขับรถราคาตั้งหลายล้าน ให้เพื่อนเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเนี่ยนะ สุภาพบุรุษสุด ๆ อ่ะ”
น้ำอิงบ่นแต่ถึงยังไงถ้าเขาแวะกินก๋วยเตี๋ยวจริงเธอก็กะจะเลี้ยงอยู่แล้ว ก็เขาอุตส่าห์รอไปส่งนี่
นธีไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านกับสิ่งที่น้ำอิงพูด กลับยกยิ้มเมื่อเหลือบไปเห็นคนที่บึ้งไปอย่างไม่จริงจังนัก
“ฉันสุภาพบุรุษแค่กับผู้หญิง...”
“แล้วที่นั่งหน้าสลอนอยู่นี่เห็นเป็นผู้ชายหรือไง”
“ฉันหมายถึงผู้หญิงของฉัน” นธีตอบกลับพร้อมเหลือบสายตามาหาด้วยใบหน้ากวนประสาทเหมือนเดิม ทำให้เธอเบ้หน้า
หลายมาตรฐานจริง!
“จ้า ๆ ก๋วยเตี๋ยวแค่ห้าสิบ ฉันเลี้ยงนายได้สบายมาก ไปถึงก็สั่งซักสิบชามดูสิ”
“สายเปย์ว่ะ”
“แน่นอน”
“พูดงี้อยากเป็นผู้ชายของเธอเลย เธอน่าจะเลี้ยงดีน่าดู”
“พูดมากร้านปิดก่อน อดกินไม่รู้ด้วยนะ”
น้ำอิงพูดเสร็จก็หันหน้าออกไปพิงกระจกแล้วหลับตาลงไม่อยากคิดอะไรกับสิ่งที่เขาพูด แต่พอเห็นเธอเบี่ยงหน้าหลบก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคนด้านข้างเสียอย่างนั้น
การแกล้งคงจะเป็นเรื่องสนุกของเขาละมั้ง
รถของเขาขับเข้าไปจอดด้านใต้ของหอพักก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินออกไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้
“บะหมี่หมูต้มยำครับ”
“เส้นเล็กน้ำตก ไม่ใส่ตับ ไม่ใส่ถั่วงอก ไม่ใส่ผักโรยค่ะ”
คนรับออเดอร์จดแล้วเดินเอาไปให้ป้าบัวทำให้ก่อนจะวางแก้วน้ำไว้ให้เหมือนครั้งก่อน ๆ เนื่องจากมืดแล้วร้านก็ใกล้จะปิดทำให้คนไม่เยอะ อาหารจึงถูกทำอย่างรวดเร็ว
เขาไม่รู้ว่าน้ำอิงจะเลิกเมื่อไหร่ก็เลยรออยู่อย่างนั้น ไม่คิดว่าจะออกมาจนมืดค่ำทำเอาหิวจนจัดการอาหารตรงหน้าภายในไม่กี่นาทีหลังมันถูกวางไว้บนโต๊ะ
ร่างสูงที่กินเสร็จนำไปแล้วแต่คนตัวเล็กก็คงกินด้วยความเร็วปกติ ใบหน้าหล่อหันซ้ายหันขวาคล้ายกับหาบางอย่าง เมื่อไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังมองหาอยู่ก็ตะโกนถามป้าบัว
“ลูกแมวเป็นยังไงบ้างครับป้า”
พอพูดเรื่องลูกแมวทั้งสองก็สังเกตเห็นใบหน้าของคนมีอายุดูเศร้าหมองไปก่อนจะตอบ
“เหลือตัวเดียวแล้วล่ะพ่อหนุ่ม ป่วยตายไปตัวหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันหมาในซอยข้าง ๆ ก็มากัด ป้ากับเด็กในร้านไล่ไม่ทัน เกือบตายหมดคอก”
“...”
“แล้วอยู่ไหนครับ ตอนนี้มีคนรับเลี้ยงไปยังเหรอ”
คำพูดของป้าทำเอาทั้งคู่ถึงกับสลดไปด้วยความสงสารลูกแมวโชคร้ายเหล่านั้น แต่ก็ว่าหรือเอาผิดใครไม่ได้ เป็นลูกแมวจรไม่มีใครสะดวกดูแล แถมหมาก็เป็นหมาจรจัดแถวนี้ที่ไม่มีเจ้าของ
“อยู่ที่เดิมนั่นแหละ น่าสงสารป้าก็ไม่รู้จะทำยังไง ที่บ้านมีเด็กจะเอาไปเลี้ยงก็กลัวโรค”
“นายจะทำอะไร”
น้ำอิงถามเมื่อเห็นว่าร่างสูงตรงหน้าเดินตรงไปยังลังกระดาษที่คงมีใครเอามาใช้เป็นบ้านชั่วคราวให้ลูกแมวผู้น่าสงสาร ตอนแรกก็คิดว่าเขาแค่ไปดูเฉย ๆ แต่แล้วเธอก็ตาโตเมื่อเขาเดินกลับมาพร้อมกับมือที่หอบหิวเจ้าตัวเล็กสีเหลืองอ่อนแซมด้วยสีส้มเป็นลาย ตัวเท่าฝ่ามือแถมยังขี้เซาขนาดถูกอุ้มยังไม่ยอมตื่น
น้ำอิงรีบเบี่ยงสายตาหลบทันทีกลัวว่าจะเผลอไปสบตาเจ้าสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารเข้า
“ธีอย่าอุ้มมั่วซั่ว ถ้าเลี้ยงไม่ได้มันเหมือนให้ความหวังคนอื่นเขา”
คาดว่าป้าบัวเองแกก็คงอยากให้ใครซักคนรับไปเลี้ยงเพราะสงสารและจะได้ไม่เป็นภาระของแกที่ต้องคอยพะวงทั้งการให้นมหรือหมาที่จ้องจะเข้ามากัด
“น่ารักนะอิง มองหน่อยดิ”
“ไม่เอา”
“ลืมตาแล้วด้วยนะ วันนั้นที่เราเจอยังไม่ลืมตาเลย ไม่สงสารเหรอ...เกิดมาไม่เคยเจอพ่อเจอแม่ พี่น้องก็ตายทิ้งให้อยู่ตัวเดียวแบบนี้อ่ะ”
“...”
“หนูชื่ออะไรดีครับ นีโม่ไหม” ร่างสูงมองเจ้าตัวเล็กตัวส้ม ๆ ลาย ๆ ชื่อนี้ก็แล่นเข้ามาในหัว มีนอ.หนู เหมือนชื่อของพวกเขาทั้งสอง ‘นธีกับน้ำอิง’
“อย่าไปตั้งชื่อ!” เขานี่มันยังไงกันนะ ตัวเองก็บอกตั้งแต่แรกแล้วแท้ ๆ ว่าที่บ้านเลี้ยงหมาใหญ่เลี้ยงไม่ได้ ยังไปสร้างความผูกพันโดยการตั้งชื่อให้อีก “ถ้าไม่เลี้ยงอย่าตั้งชื่อ”
“ใครบอกไม่เลี้ยง จะเลี้ยงต่างหาก” พอร่างสูงพูดทั้งใบหน้าป้าบัวและบรรดาลูกจ้างของแกก็พากันโล่งอก เหมือนกับดีใจไปกับเจ้าตัวเล็ก
“แล้วไหนบอกว่าที่บ้านเลี้ยงหมาไง”
“ใช่...แต่ห้องอิงไม่มีหมานี่นา”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“เลี้ยงด้วยกันไง ดูดิ...นีโม่ดีใจใหญ่เลย มีบ้านใหม่แล้ว เย่ !”
“...”
คนที่โดนมัดมือชกถึงกับพูดไม่ออก จะปฏิเสธก็โดนสายตาคาดหวังของป้าบัวแกที่ดีใจไปแล้วกดดัน หากบอกว่าไม่เลี้ยงคงจะกลายเป็นคนที่ใจอำมหิตเมื่อเทียบกับพ่อเทพบุตรช่างรักสัตว์แบบนธี
อีกอย่างเธอเผลอสบตากับเจ้านีโม่ไปแล้วนิดหนึ่งด้วย!
“เดี๋ยวค่าเลี้ยงดูออกให้หมดเลย แค่ขอพื้นที่เลี้ยงของอิงก็พอ โอเคไหม?”
“ไม่ต้องมาทำเป็นขอความเห็น ฉันพูดอะไรได้ด้วยหรือไง”
เมี้ยวว~~
“อิงได้ยินไหม...เมื่อกี้นีโม่ขอบคุณด้วย มันบอกว่าหมะม๊าน้ำอิง...น่ารักที่สุด”
เอาเข้าไป...
“เดี๋ยวรบกวนกรอกข้อมูลของสัตว์เลี้ยงด้วยนะคะ”
น้ำอิงถึงกับเหม่อลอยเหมือนตัวเองเพิ่งจะโดนสะกดจิตเพราะรู้ตัวอีกทีจากที่อยู่ใต้หอตัวเองดี ๆ อยู่แล้วดันต้องพาเจ้าตัวเล็กไปหาหมอแล้วเธอก็เป็นคนอุ้มมันอยู่ตอนนี้
“น้องเป็นแมวจร ผมไม่รู้สายพันธ์ุเลยครับ”
“ถ้างั้นกรอกเท่าที่กรอกได้ก็พอค่ะ”
“อ่า...ครับ” นธีตั้งหน้าตั้งตากรอกใบประวัติก่อนจะยื่นกลับไป “คืนนี้สามารถฝากไว้ที่นี่ได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะแต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการฝากไว้ที่คลินิกนะคะ”
“ครับ”
หลังจากนำแมวตัวเล็กไปให้ทางผู้ดูแล แล้วนั่งรอเจ้าหน้าที่ประเมินค่าใช้จ่ายซักครู่ก็เรียกไปจ่ายค่ามัดจำในการรักษา ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดนธีก็ออกทั้งหมดไม่ปริปากบ่นซักคำมีแต่ปากที่ยิ้มจนเกือบฉีกไปถึงรูหู
กลับเข้ามาที่รถหลังจากฝากแมวน้อยไว้ที่คลินิกใกล้หอพักเนื่องจากความไม่พร้อมของที่อยู่และการรับเลี้ยงโดยไม่ได้เตรียมอะไรซักอย่าง ซึ่งมันก็ดึกดื่นเกินกว่าจะซื้อของใช้สำหรับเจ้าตัวเล็กแล้ว
“ไงล่ะ เสียตังแล้วสบายใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“สบายใจมากเลยล่ะ พรุ่งนี้เลิกเรียนไปซื้อของให้นีโม่กันนะ”
“นายก็ไปคนเดียวสิ”
“อะไร? บอกว่าเลี้ยงด้วยกันไง จะผลักภาระมาที่ฉันคนเดียวได้ไง”
“มองมุมไหนฉันก็เหนื่อยกว่าอยู่ดี นายออกค่าใช้จ่ายแต่คนป้อนน้ำ ป้อนนม ดูแลก็เป็นฉันทั้งนั้น” พอได้สติน้ำอิงก็บ่นไม่หยุดที่เขาพาเธอไหลตามจนสุดท้ายเธอก็ต้องมาเลี้ยงแมวกับเขาจนได้
“แล้วแบบไหนเธอถึงจะพอใจ เอาไปคืนเหรอ?”
“อย่ามาพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้นะ” แบบนั้นไม่ต่างอะไรกับเอาแมวไปปล่อยวัดเลย บาปหนักกว่าเดิม
นธีมองคนที่เอาแต่บ่นอย่างนึกเอ็นดู ไม่คิดว่าน้ำอิงจะยอมเลี้ยงจริง ถึงจะเป็นเพราะเขาตื้อและเธอก็ไม่ค่อยเต็มใจในตอนแรก แต่คงเพราะทั้งสองรู้ดีว่าหากไม่รับเลี้ยงไว้ ไม่นานเจ้าตัวน้อยคงไปเฝ้าดาวแมวกับพี่น้องตัวเองแน่ ๆ
“ถ้าเธอกลัวเหนื่อยที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เธออยากให้ฉันย้ายไปอยู่กับเธอไหมล่ะ จะได้ช่วยกันเลี้ยง” น้ำอิงสะบัดหน้าไปหาเมื่อได้รับคำแนะนำการแก้ปัญหาที่แสนมึนไม่แพ้ใบหน้าของเขา “เอาไง? อยากเหนื่อยเลี้ยงลูก หรือให้ฉันไปช่วยเลี้ยง แต่ได้เหนื่อยอย่างอื่นแทน”
ขอแค่บอกก็พร้อมกลับบ้านเก็บเสื้อผ้า ลาพ่อ ลาแม่และหมาอีก 4ตัว
“แค่เอาแมวมาก็เหนื่อยพอแล้ว นายไม่ต้องมาเป็นภาระเพิ่มอีกคนหรอก”
“โห...ฉันเนี่ยนะเป็นภาระเธอน้ำอิง ดูถูกว่ะ รู้ไหมมีแต่คนอยากได้ฉัน อยากให้ฉันไปอยู่ด้วยทั้งนั้นแหละ”
ภาระเนี่ยนะ! พูดมาได้...เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน ปกติเป็นที่ต้องการตลอด ไม่ชินหูเลยว่ะ
คำพูดที่เข้าข้างตัวเองแบบสุด ๆ ทำเอาคนฟังถึงกับทำหน้าเอือมระอาครั้งแล้วครั้งเล่า
“จะอะไรก็ช่าง แต่อย่าเบี้ยวส่งค่าเลี้ยงแล้วกัน ไม่อย่างนั้นฉันจะหาพ่อใหม่ให้นีโม่ คอยดูเถอะ!”
ถ้าเขาทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เธอจะเอาไปให้พ่อเลี้ยง ยังไงซ่ะอยู่บ้านเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินจะไม่พอเลี้ยงดู
“งั้นก็รอไปก่อน เพราะฉันมั่นใจว่าเวลาดูแลอะไรซักอย่างฉันทำมันได้อย่างดี”