ตอนที่ 16 ทำไมใจร้าย
เช้าของวันต่อมา
หนูยิ้มรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอนห้องของวาตะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเธอจำได้ทั้งหมดและมันคือความเต็มใจของเธอเอง ตอนนี้เธอตื่นมาพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว แถมตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นไข้ ขยับตัวเองเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว โดยเฉพาะส่วนล่างที่เจ็บจนใบหน้าสวยบิดเบี้ยว
สายตาคู่สวยมองตามเนื้อตัวของตัวเองราวกับกำลังสำรวจตัวเอง ซึ่งบนผิวขาวเนียนของหนูยิ้มตอนนี้เต็มไปด้วยรอยกลีบกุหลาบและรอยฟันที่วาตะทำไว้ให้ รวมถึงผ้าปูที่นอนที่ตอนนี้มีทั้งคราบเลือดคราบน้ำรัก
เธอยอมรับว่าเมื่อคืนวานนี้เขารุนแรงต่อเธอก็จริง แต่ทั้งหมดเธอก็เป็นคนเต็มใจให้อีกฝ่ายทำ และเป็นหนูยิ้มที่ยินยอมเองทั้งหมดซึ่งพอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้มันพาลให้หนูยิ้มได้ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ยิ้มอะไรไม่ทราบ” วาตะที่นั่งบนเก้าอี้ กอดอกไขว่ห้างหันมามองหนูยิ้มที่อยู่บนเตียง
“พี่วาตะ ตื่นนานยังคะ” หนูยิ้มเอ่ยถามขึ้นเพราะตอนนี้วาตะอยู่ในชุดลำลอง ซึ่งหนูยิ้มคิดว่าเขาน่าจะตื่นก่อนเธอนานแล้ว
“เธอยังไม่ตอบฉันเลย ตื่นขึ้นมาก็ยิ้มอะไร”
“ก็ดีใจที่ได้เป็นเมียพี่วาตะไงคะ” หนูยิ้มเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ แต่คำพูดของเธอกลับทำให้อารมณ์ของวาตะโมโหขึ้นมาในทันที
วาตะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้าหาหนูยิ้ม ยื่นมือจับลงที่ข้อมือของหนูยิ้มก่อนออกแรงกระชากให้ร่างบางเข้ามาหาตัวเอง
“พี่วาตะ ปล่อยหนูยิ้มนะคะ หนูยิ้มเจ็บ”
“ฉันจะบอกอะไรเธออีกครั้งนะหนูยิ้ม ผู้หญิงที่มานอนกับฉันไม่มีวันได้สถานะอะไรทั้งนั้น รวมถึงเธอด้วย หยุดคิดหยุดหวังว่าฉันจะเอาผู้หญิงแบบเธอมาเป็นเมีย” วาตะพูดจบก็ออกแรงผลักให้หนูยิ้มล้มลงไปบนเตียงอีกครั้ง
“ทำไมคะ หนูยิ้มไม่ดีตรงไหน”
“เพราะเธอกับพ่อแม่เธอ เป็นพวกโกหกต้มตุ๋นไงล่ะ”
“…” ไร้ซึ่งเสียงตอบโต้ใด ๆ ออกมามีเพียงแต่การก้มหน้าอย่างไม่อาจจะสบสายตากับเขาได้ คำพูดเพียงไม่กี่คำของวาตะไม่อาจจะทำให้หนูยิ้มหยุดความคิดของตัวเองได้
“หนูยิ้มขอโทษ” หนูยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา
“ถ้าตื่นดีแล้วก็กลับไปได้แล้ว จะเอาชุดเครื่องนอนนี่ไปเผาทิ้ง” เสียงที่ดังออกมาเรียกความสนใจของหนูยิ้มได้เป็นอย่างดี เธอหันไปมองใบหน้าคมของเจ้าของเสียงอย่างเป็นคำถาม
“พี่วาตะ ทำไมใจร้าย” หนูยิ้มเรียกวาตะด้วยเสียงที่เบาลงอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะรังเกียจเธอได้ถึงขนาดนี้ อยู่ๆน้ำตาก็ไหลอาบลงสองแก้มอย่างสุดจะกลั้น
“ฉันร้ายได้มากกว่าที่เธอคิด ลุก...ออกไปได้แล้ว” วาตะเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยความเย็นชา
“แต่หนูยิ้มเหมือนจะไม่สบายเลยนะคะ ขอนอนพักอีกหน่อยได้ไหมคะ ” หนูยิ้มเงยใบหน้าขึ้นมองวาตะก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลง เธอไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างไร เพราะตอนนี้ร่างกายเธอเหมือนยังระบมไปทั่วร่างกายเพราะความเอาแต่ใจของวาตะเมื่อคืนนี้ เธอแทบจะไม่มีแรงก้าวลุกออกจากเตียงได้เลย
“แล้วยังไง เธอเป็นคนเสนอตัวให้ฉัน ตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไร” วาตะมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของหนูยิ้ม แต่เขาติดว่าเธอเพียงแค่เสแสร้งเท่านั้นเพราะครั้งก่อนเธอก็แสดงสีหน้าน่าสงสารแบบนี้
“ที่ไม่ยอมไปง่ายๆเพราะอยากได้เงินใช่ไหม ได้...สามแสนเท่าเดิมพอไหม” วาตะพูดจบก็เดินไปหยิบเงินตรงลิ้นชักหัวเตียงมาให้กับหนูยิ้มสามปึก เขาโยนเงินไปใกล้หนูยิ้มแทนการยื่นให้อย่างที่ควรจะเป็น
“พี่วาตะ หนูยิ้มไม่ได้ต้องการเงิน”
“แล้วที่ผ่านมาล่ะ แสดงว่าจัดฉากสินะ ทำแบบนี้กับกี่คนล่ะ”
“หนูยิ้มไม่เคยทำแบบนั้น”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ออกไปได้แล้ว”
การกระทำของวาตะในตอนนี้เป็นเหมือนมีดที่ค่อย ๆ กรีดลงบนหัวใจของหนูยิ้มอย่างช้า ๆ แม้ว่าเธอพยายามคิดว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธตัวเองอยู่ แต่ก็อดที่จะเสียใจไม่ได้
“แต่หนูยิ้มเป็นเมียพี่แล้วนะคะ”
“ถ้าเอากันแล้วเป็นเมียทุกคน ฉันไม่ต้องมีเมียเป็นร้อยคนแล้วเหรอ”
“พี่วาตะ...ทำไมพี่ถึงมีอะไรกับใครได้ง่ายๆ” หนูยิ้มเจ็บปวดใจที่วาตะพูดออกมาอย่างง่ายดายว่าเคยมีอะไรกับใครมาก่อนมากมาย
“กับเธอก็ไม่ยากนะ มาเสนอให้ถึงที่”
“พี่วาตะ...ฮือ” หนูยิ้มเรียกชื่อวาตะพร้อมเสียงสะอื้นเสียใจที่เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดหวังเอาไว้
สิ่งที่เธอคิดเอาไว้อาจจะเป็นเพียงความคิดของเด็กสาวที่หากมีสัมพันธ์กับใครแล้วจะต้องเป็นผัวเมียกันในเชิงพฤตินัยแต่เธอต้องยอมรับว่าโลกมันเปลี่ยนไปมากแล้วและเป็นเธอเองที่มาเสนอตัวให้เขาเองถึงที่
หนูยิ้มพยุงร่างกายของตัวเองลุกลงจากเตียงอย่างช้า ๆ แต่ทันทีที่เท้าของเธอแตะลงบนพื้นความเจ็บปวดก็วิ่งเข้าเล่นงาน ทำให้ร่างบางล้มลงไปกองบนพื้น
“อย่ามาสำออย ลุก...แล้วออกไป” วาตะไม่เพียงไม่ช่วย แต่ชายหนุ่มกลับเดินออกไปจากห้องนอนของตัวเอง ทิ้งให้ร่างระหงกองอยู่บนพื้นเพียงลำพัง
“พี่วาตะ หนูยิ้มขอโทษ” หนูยิ้มเอ่ยด้วยเสียงที่เบาอีกครั้ง ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้น หนูยิ้มไม่ได้คิดจะกลับออกไปทั้ง ๆ ที่บนตัวยังคงมีน้ำคาวรักที่เหนอะหนะตัว
เธอเลือกเข้าไปอาบน้ำก่อนแต่งตัวใหม่อีกครั้ง สำรวจร่างกายที่บอบช้ำของตัวเองพบว่ามีร่องรอยที่วาตะฝากไว้มากมายโดยเฉพาะช่วงหน้าอกของเธอ ตอนนี้พอได้รับน้ำอุ่นก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ร่างกายก็ยังคงอ่อนเพลียเพราะเริ่มจะมีไข้ขึ้นสูงประกอบกับเมื่อวานช่วงเย็นเธอยังไม่ได้กินอะไรเลย
หนูยิ้มมองเงินที่กองอยู่บนเตียงนอนเล็กน้อย เธอไม่แม้แต่จะหยิบมันขึ้นมา เพียงแต่เดินออกจากเพนท์เฮาส์และเดินตรงเข้าลิฟท์ กดลงมาชั้นหนึ่งแล้วเดินออกไปอาคาร 9 ชั้นของวาตะอย่างเงียบ ๆ
หนูยิ้มรู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียและซึ่งเหมือนกำลังร้อนวาบไปทั้งตัว โดยเฉพาะใบหน้าของเธอที่เหมือนมีไอร้อนออกมาตลอดเวลา
ตามเนื้อตัวที่ปวดร้าวในตอนแรกตอนนี้ก็เหมือนจะปวดเพิ่มขึ้นไปอีก แต่เท้าเรียวของหนูยิ้มยังคงพยายามก้าวเท้าไปอย่างช้า ๆ แม้ว่าการเดินของเธอจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
เส้นทางที่หนูยิ้มกำลังเดินอยู่นี้เป็นถนนทางเข้าไปสนามแข่งที่มีแดดค่อนข้างแรง และระยะทางกว่าจะเดินไปถึงถนนใหญ่ค่อนข้างไกลแต่ยังดีกว่าจะเดินออกไปทางหลังตึกเพนท์เฮาส์เพราะคงหารถผ่านมายาก
ทางด้านของวาตะ เขาเห็นท่าทีของหนูยิ้มก็รู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอน แต่เขาไม่ได้เดินไปไหนไกล แต่กลับเดินเข้าไปนั่งอยู่ในส่วนของห้องทำงานตัวเอง
สายตาของเขามองตรงลงไปยังถนนข้างสนามแข่งรถตลอดเวลาเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง แต่นาทีแล้วนาทีเล่าก็ยังไม่เห็นหนูยิ้มเดินผ่านมา
“เธอจะมาไม้ไหนกันแน่” วาตะกำมือเข้าหากันแน่มองตรงไปยังสนามแข่งที่ไร้ซึ่งเงาของหนูยิ้มที่ควรจะเดินพ้นตัวอาคารนี้ออกมาได้แล้วแต่แล้วเป็นหนูยิ้มที่เดินออกมาพ้นจากตัวอาคาร 9 ชั้นของเขา
“หึ….ยัยโง่ ทำไมเธอไม่เรียกรถมารับวะ” วาตะเอ่ยอย่างหัวเสีย เขาคิดว่าที่หนูยิ้มหายไปคงนั่งรอรถ ไม่คิดว่าจะเดินออกไปปากทางแบบนี้
“หนูยิ้ม บ้าจริง” วาตะตกใจอย่างสุดขีดเมื่ออยู่ ๆ ร่างระหงของหญิงสาวก็ล้มลงไปกับพื้น
วาตะไม่ได้คิดจะปล่อยให้หนูยิ้มนอนอยู่บนพื้นถนนทางเข้าสนามแข่ง แต่เขากลับวิ่งไปที่ลิฟท์เพื่อลงจากเพนท์เฮาส์ด้วยความเร็ว ตรงไปหาหนูยิ้ม
ตอนนี้หนูยิ้มสลบไปแล้วและเนื้อตัวร้อนดังไฟ ร่างกายที่อ่อนเพลียบวกกับพิษไข้ทำให้เธอหมดสติไป
“หนูยิ้ม หนูยิ้ม ตัวร้อนเป็นไฟเลย” วาตะอุ้มหนูยิ้มขึ้นจากพื้นก่อนจะตัดสินใจพาเธอไปยังโรงพยาบาลในทันที
“หนูยิ้มอย่าเป็นอะไรไปนะ”