ตอนที่ 14 ทำไมถึงดื้อขนาดนี้
วาตะที่เดินเข้ามาภายในเพนท์เฮาส์ได้เพียงไม่กี่ก้าวต้องหยุดการขยับเท้า เพราะเขาเห็นหญิงสาวที่กำลังยืนหันหลังกำลังทำงานบ้านอยู่โดยไม่ได้แต่งตัวปิดบังตัวเองเหมือนแต่ก่อน และเจ้าของร่างระหงที่กำลังตั้งใจทำงานบ้านอยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหนูยิ้มแน่นอน วาตะจำรูปร่างของยัยตัวแสบคนนี้ได้
“เธออีกแล้วเหรอ...นี่เธอกล้ามากนะ
”
แม่บ้านที่ยืนหันหลังทำงานตอนนี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ยัยตัวแสบ’วาตะตรงเข้าไปหาแม่บ้านคนใหม่ที่เขาเพิ่งจ้างมาทำงานได้ไม่ถึงอาทิตย์ เขาไม่รู้ว่าหนูยิ้มไปดีลกับแม่บ้านยังไงถึงสามารถเข้ามาทำงานในบ้านได้อีก
“โอ้ย…ปล่อยนะ หนูยิ้มเจ็บ” ใบหน้าสวยตามแบบฉบับลูกครึ่งมุ่ยหน้าลงทันทีเพราะความเจ็บ เธอพยายามแกะมือของวาตะที่บีบแขนของเธออยู่อย่างไม่คิดจะเบามือ
“ยัยตัวแสบ...ฉันเคยบอกเธอว่ายังไง”
“หนูยิ้มขอโทษ หนูยิ้มแค่อยากอยู่ใกล้พี่วาตะบ้างแต่ที่มหา’ลัยไม่มีโอกาสเลย” หนูยิ้มเงยใบหน้าขึ้นมองวาตะก่อนเอ่ยออกมา ซึ่งแววตาที่เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาทำเอาวาตะเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
“ออกไป! ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ” วาตะตวาดออกมาด้วยเสียงที่ดัง ในเวลานี้เขาทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห แต่ก็พยายามข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้ทำอะไรรุนแรงกับหนูยิ้ม
“หนูยิ้มยังทำงานบ้านไม่เสร็จ ขอหนูยิ้มทำงานก่อนนะคะนะ ” หนูยิ้มในตอนนี้เหมือนลูกแมวที่กำลังอ้อน แต่มันใช้ไม่ได้กับวาตะ ต่อให้เธอพยายามหลบสายตาคู่คมมาแค่ไหน มันก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์ เพราะความรู้สึกของเธอเหมือนกำลังถูกวาตะแผดเผาตัวเธออยู่
“ฉันบอกให้เธอออกไป”
“ไม่ค่ะ หนูยิ้มรู้ว่าพี่วาตะโกรธหนูยิ้มอยู่ หนูยิ้มขอโทษ”
“เธอต้องการอะไรกันแน่ กลับเข้ามาในชีวิตฉันอีกทำไม” วาตะเอ่ยถามพร้อมมองใบหน้าของหนูยิ้มที่เอาแต่มองมายังเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอพยายามหลบสายตาของเขาอยู่ตลอดเวลา
“หนูยิ้มอยากขอโทษ พี่วาตะให้โอกาสหนูยิ้มได้รัก ได้ดูแลพี่วาตะอีกครั้งได้ไหมคะ”
“ถ้าจะมาแค่ขอโทษ ฉันจะรับไว้ และเธอก็ออกไปได้แล้ว” วาตะมองใบหน้าของหนูยิ้มด้วยสายตาที่เรียบนิ่งราวกับไม่มีความรู้สึก พร้อมมือที่ชี้ไปทางประตูเป็นสัญญาณให้หนูยิ้มได้เดินออกไปจากบ้าน
“งั้นพี่วาตะอยากให้หนูยิ้มทำอะไรให้ไหมคะ หนูยิ้มทำได้หมดเลยนะคะไม่ว่าเรื่องอะไร”
“อย่ามาพูดอะไรที่คิดว่าตัวเองจะทำได้ทุกอย่าง มันจะทำให้ตัวเธอเดือดร้อน”
“ถ้าเป็นสิ่งที่พี่วาตะต้องการ หนูยิ้มทำให้ได้ทุกอย่าง”
“ได้ งั้นเธอก็ทำให้ฉันพอใจสิ” วาตะเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ อย่างไรเสียหนูยิ้มก็ต้องถอยกลับไปเหมือนทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาจะไม่มีทางประมาทเหมือนครั้งก่อนแน่นอน
“ได้ค่ะ พี่วาตะอยากให้หนูยิ้มทำอะไรคะ บอกมาได้เลยค่ะ” หนูยิ้มเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจตอนนี้เธอเต้นจนแทบจะหลุดออกจากอกเพราะวาตะโน้มหน้าเข้ามาใกล้เธอมากจนลมหายใจรดต้นคอเธอแล้วและด้วยความตกใจหนูยิ้มจึงยกมือขึ้นมาดันอกแกร่งของวาตะเอาไว้
“ถ้าแบบนี้...คิดว่าไง แค่นี้ก็ใจฝ่อซะแล้ว กลับไปเถอะ อย่ามาเปลืองตัวที่นี่…อืม” สิ้นเสียงของวาตะดวงตาคู่คมต้องเบิกกว้างออกมา เพราะอยู่ ๆ หนูยิ้มก็แนบริมฝีปากของตัวเองลงมาบนเรียวปากหยักของชายหนุ่มหน้าหวานตรงหน้า
เธอพยายามขบเม้มและดูดดึงริมฝีปากของชายหนุ่มอย่างช้า ๆ แม้ว่าการกระทำที่แสนจะไม่ประสีประสาของเธออจะดูขัดใจวาตะอยู่แต่อีกใจชายหนุ่มกับชื่นชอบไม่น้อย
วาตะประคองที่ท้ายทอยของหนูยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายบดขยี้จูบที่แสนหยาบโลนและรุนแรงกลับไปให้กับหนูยิ้ม ซึ่งในคราวแรกหนูยิ้มพยายามตอบสนองกลับ แต่เพราะความเชี่ยวชาญของอีกฝ่ายทำให้เธอไม่อาจจะตอบสนองกลับได้ แถมตอนนี้ลมหายใจที่เคยมีก็เหมือนจะหมดลง
หนูยิ้มตีลงบนอกแกร่งของวาตะเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ซึ่งมันได้ผลเมื่อวาตะยอมปล่อยให้หญิงสาวได้เป็นอิสระ
“กลับ ไป ซะ” วาตะเอ่ยอย่างเน้นที่ละคำ อีกครั้งน้ำเสียงที่ดังทำเอาเจ้าของร่างบางสะดุ้งเพราะความตกใจ
“ไม่ค่ะ ถ้าสิ่งนี้เป็นสิ่งพี่วาตะอยากได้หนูยิ้มก็จะทำให้ค่ะ” หนูยิ้มมองใบหน้าของวาตะอย่างไม่ละสายตา ดวงตาสีฟ้าสว่างของเธอมันบ่งบอกถึงความหนักแน่นในใจของเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี ทำเอาวาตะถึงกลับหนักใจมากกว่าเดิม เขาไม่คิดว่าหนูยิ้มจะดื้อดึงได้ขนาดนี้
“ทำไมถึงดื้อขนาดนี้วะ...ยัยตัวแสบ”
“หนูยิ้มไม่ดื้อแต่เป็นแค่กับพี่วาตะ” หนูยิ้มก้มหน้าพูด สองมือเรียวเกาะที่แขนของวาตะทั้งสองข้างอย่างกลัวอีกฝ่ายจะผลักเธอออกไป
“ถ้าฉันอยากได้มากกว่าจูบจะทำได้ไหม” วาตะหันมามองใบหน้าแสนดื้อรันของหนูยิ้มก่อนแสร้งยิ้มที่มุมปากและพูดออกมา
“ทำได้ค่ะ”
“งั้นเอาเลย ลองทำดูสิ หวังว่าเธอจะทำให้ฉันพอใจ” วาตะพูดก่อนทิ้งตัวเองลงบนโซฟา มองใบหน้าของหนูยิ้มอย่างเชิญชวนและท้าทาย
สายตาที่แปรเปลี่ยนไปของชายหนุ่มทำให้หนูยิ้มหายใจไม่ทั่วท้อง เธอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ก่อนเดินเข้าไปหาวาตะที่นั่งอยู่บนโซฟา วาตะตั้งใจทำให้หนูยิ้มหวาดกลัวแล้วล่าถอยออกไป
หนูยิ้มเดินตามเข้ามานั่งข้างวาตะบนโซฟาแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากเรียวหยักของอีกฝ่ายอีกครั้งทำราวกับที่วาตะทำเธอก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มเอาแต่นิ่งเฉยให้หญิงสาวเป็นคนเริ่มทุกอย่าง
มือเรียวสวยลูบสัมผัสไปตามแผงอกที่เป็นกล้ามเนื้อราวกับกำลังปลุกอารมณ์ให้กับวาตะ ซึ่งมันได้ผลเป็นอย่างดี เมื่อตัวตนของเขาเริ่มมีการขยายตัวทั้ง ๆ ที่สัมผัสของหนูยิ้มมันเป็นเพียงสัมผัสเล็ก ๆ เท่านั้น
หลังจากถอนริมฝีปากออกมาแล้ว หนูยิ้มขยับใบหน้าไปงับลงที่ซอกคอของวาตะ ทำเอาคนที่พยายามนิ่งแทบจะอยู่นิ่งไม่ได้กับสัมผัสของการกระทำที่เงอะงะของเธอทำให้อารมณ์ภายในตัวของวาตะเริ่มเดือดพร่านไปทั้งตัว
“ถ้าทำได้แค่นี้ก็กลับไปซะ” วาตะเอ่ยออกมาอีกครั้งหวังไล่เจ้าของร่างบางให้ออกไปก่อนที่ตัวเขาเองจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่อยู่
“ไม่ค่ะ” หนูยิ้มเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อของวาตะทีละเม็ดอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะโน้มลงไปจูบที่ชีพจรบริเวณต้นคอของชายหนุ่ม
วาตะหลับตาลงเล็กน้อยราวกับกำลังข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ แต่มันไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เขาแทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าเพียงแค่การปลุกเร้าแบบเบสิคเท่านั้นทำให้เขามีอารมณ์พุ่งขึ้นได้อย่างไร
“หนูยิ้มหยุด” วาตะจับลงบนข้อมือของหนูยิ้มที่กำลังปลดประดุมเสื้อของตัวเองให้เธอหยุดการกระทำ
“ทำไมคะ พี่วาตะไม่ชอบเหรอคะ แล้วพี่วาตะชอบแบบไหนคะ”
“เธอรู้ไหมว่ากำลังเล่นกับไฟอยู่...ไฟจะเผาตัวเธอเอาได้นะ”
“...” หนูยิ้มส่ายใบหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจในความหมายของวาตะ
“ออกไปซะ” วาตะเอ่ยไล่เจ้าของร่างบางอีกครั้ง แต่เหมือนคำไล่ของเขาจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะหนูยิ้มไม่เพียงไม่ไป แต่ไม่สนใจคำไล่ของเขา
“หนูยิ้มไม่ได้เล่นๆ”
มือเรียวสวยยังคงพยายามเอื้อมไปแกะกระดุมของอีกฝ่ายเหมือนเดิมจนเผยให้เห็นแผงอกแกร่งที่มีกล้ามเนื้อชัดเจน ร่องซิคแพค วีไลน์สวยที่เด่นชัด มือน้อยค่อยๆลูบไล้อย่างเบามือและมือของวาตะจับเข้าที่ข้อมือน้อยนั้นให้หนูยิ้มหยุดการกระทำนั้น
“หนูยิ้มหยุด แล้วออกไป”
“ไม่ค่ะ” หนูยิ้มมองใบหน้าของวาตะก่อนเอ่ยตอบออกมากมาด้วยเสียงที่หนักแน่ ทำเอาคนที่ได้ยินถึงกลับถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ฉันถือว่าให้โอกาสเธอแล้ว”
“ถ้าเป็นพี่วาตะ หนูยิ้มจะไม่เสียใจ”
“อย่ามาอวดดี อย่ามาเสียใจทีหลังนะ”