ตอนที่ 13 นี่เธอกล้ามากนะ
ขณะที่หนูยิ้มกำลังจะเดินกลับไปทำงาน วาตะกลับสบสายตาของอีกฝ่ายอย่างบังเอิญและสีของนัยย์ตาคู่นั้นมันชัดเจนเหลือเกิน วาตะได้แต่คิดในใจ
‘นี่เธอกล้ามากนะ...ที่หาทางเข้ามาที่นี่’
“เดี๋ยว” วาตะเอ่ยเรียกคนที่กำลังจะเดินกลับไปทำงานต่อ เขาขยับตัวลุกขึ้นเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ซึ่งทำให้หนูยิ้มพยายามหลบหน้าของวาตะ เธอเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเข้า
“มีอะไรเหรอคะ” หนูยิ้มยังคงดัดเสียงเพื่อเอ่ยถามอีกฝ่ายออกมา
“เงยหน้าขึ้น”
“เอ่อ…คือว่า”
“ฉันบอกให้เงยหน้าขึ้นมา” วาตะเอ่ยตะคอกออกมา ซึ่งมันทำให้หนูยิ้มสะดุ้งตัวเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าวาตะจะจับได้เร็วขนาดนี้
“มีอะไรเหรอคะ คือ...จะรีบทำงานให้เสร็จแล้วจะออกไป ขอโทษที่มาทำงานช้าค่ะ ” หนูยิ้มเงยหน้าขึ้นช้า ๆ อย่างไม่มีทางให้เลือกแต่อย่างน้อย ตอนนี้เธอยัง
ใส่แมสมันก็น่าจะช่วยปกปิดได้อยู่บ้าง และคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจที่แม่บ้านทำงานช้ากว่าทุกวัน
ทันทีที่หนูยิ้มเงยใบหน้าขึ้นมา วาตะมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่เขาจดจำได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้เป็นใครกันแน่
“หนูยิ้ม เธอนี่มันจริง ๆ เลย ” วาตะจ้องตาหนูยิ้มอย่างเอาเรื่อง
“เอ่อ…” หนูยิ้มก้มหน้าลงอีกครั้งเมื่อรู้ว่าวาตะจับได้แล้ว
“เข้ามาได้ยังไง ฉันจำได้ว่าแม่บ้านที่ฉันจ้างไม่ใช่เธอแน่นอน”
“หนูยิ้มแค่อยากอยู่ใกล้ ๆ พี่ เลยสวมรอยเข้ามาทำงานแทนคุณป้าแม่บ้านค่ะ ”ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาวาตะคิดว่าหนูยิ้มจะตัดใจเรื่องของเขาไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมาเจออีกทีตอนที่เธอมาทำงานเป็นแม่บ้านของเขาแบบนี้และครั้งนี้เธอเข้ามาใกล้เขามากยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
“สนุกไหม สนุกมากไหม ฉันถาม...” สายตาของวาตะที่มองหนูยิ้มในตอนนี้มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายโกรธเขามาแค่ไหน
“หนูยิ้มขอโทษ…พี่วาตะ ปล่อยนะคะ ปล่อย พี่จะทำอะไร” วาตะไม่รอให้หนูยิ้มได้พูดอะไรเขาจับลงที่แขนเรียวของหญิงสาว ก่อนออกแรงดึงให้เธอเดินตามตัวเองออกมา เขาพาหนูยิ้มออกมานอกบ้านพร้อมมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความโกรธ
“พี่วาตะ หนูยิ้มขอโทษ หนูยิ้มไม่ได้ตั้งใจโกหกพี่”
“ออกไป”
“พี่วาตะคะ หนูยิ้มจะออกไปค่ะ ครั้งหน้าจะเป็นคุณป้าแม่บ้านคนเดิมเข้ามานะคะ อย่าไล่คุณป้านะคะ หนูยิ้มขอร้องค่ะ ”
“ไม่ต้องพูด ถ้าฉันยังเห็นเธออีก ฉันจะแจ้งตำรวจจับ” วาตะพูดจบก็ปิดประตูทันที
และทันทีที่วาตะกำลังลากแขนของหนูยิ้มอยู่นั้น เธอถือวิสาวะความกล้าบ้าบิ่นกระโดดขึ้นเกี่ยวรอบเอวของวาตะ แขนอีกข้างของหนูยิ้มกอดคอเขาแน่น อีกฝ่ายพยายามสลัดตัวเธอออกแต่เธอยิ่งกอดรัดเขาไว้พลางซบหน้าของอกแกร่งที่โหยหา
“ยัยตัวแสบปล่อยเลยนะ ลงไป”
“พี่วาตะพาหนูยิ้มไปโยนทิ้งข้างนอกเลยก็ได้ค่ะ”
วาตะไม่พูดอะไรต่อเดินอุ้มหนูยิ้มออกไปหน้าประตูเพนท์เฮาส์ เขาผลักเธอแรงจนหนูยิ้มทรุดลงพื้น ก่อนหันหลังกลับเข้าไปด้านใน
หนูยิ้มได้แต่มองประตูบ้านของวาตะอย่างไม่รู้ว่าเธอควรจะทำยังไงต่อดี จนกระทั่งเธอยอมตัดใจเดินลงบันไดไปที่ชั้น 8 ที่มีห้องสำหรับแม่บ้านและจึงค่อยเข้าลิฟท์ลงมาชั้นล่าง เพื่อกลับออกไปจากสนามแข่งรถอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ
อย่างไรแล้วคุณป้าแม่บ้านเองเธอยอมรับได้หากเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพราะสาเหตุที่คุณป้าเลือกทำแบบนี้ก็เพราะต้องการเงินเพิ่มและมีเวลาอยู่ดูแลแม่ รวมถึงทำงานอื่นที่ได้เงินเพิ่มเติมนั่นเอง
วันต่อมา
12.30 น.
“เมื่อวานไปทำงานบ้านพี่วาตะมาเป็นยังไงบ้าง เจอพี่เข้าไหม” น้อยหน่าเอ่ยถามความคืบหน้าของเพื่อนทันที หลังจากพวกเธอทั้งสองเรียนเสร็จ
“เจอ”
“ดี” น้อยหน่าดีใจไม่น้อยที่เพื่อนของเธอได้เจอคนที่ตัวเองอยากพบหน้า
“ดีตรงไหน พี่วาตะลากเราโยนออกมาจากบ้านแถมจะแจ้งความจับอีก” หนูยิ้มพูดก่อนทิ้งตัวเองไปกับโต๊ะม้าหินอ่อนที่เธอนั่งอย่างหมดแรง ไม่รู้ว่าตัวเองควรจัดการเรื่องทั้งหมดอย่างไรดี
“เดี๋ยวนะ! ไปทำยังไงให้เขาจับได้เนี่ย”
“ก็…เออ แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเป็นเรา ทั้งที่แต่งตัวปิดมิดชิดมาก เหลือแต่ลูกกะตา”
“ก็เพราะสีลูกกะตานั่นไงล่ะยัยหนูยิ้ม” ทันทีที่น้อยหน้าพูดออกมา หนูยิ้มนึกได้ในทันทีเพราะตาสีฟ้าของเธออย่างแน่นอนที่ทำให้วาตะจำได้ทันที
“ไง…ทำขนาดนี้แล้ว พี่วาตะไม่สนใจเธอเลยเหรอ” ยังไม่ทันที่หนูยิ้มจะได้เอ่ยอะไรออกมากับน้อยหน่า เอมี่ก็เดินเข้ามาทักทายหนูยิ้มเสียก่อน
“ไม่สนใจแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ” น้อยหน่ามองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ
“ไม่เกี่ยว แต่รู้เอาไว้นะ อะไรที่มันไม่ดี ไม่มีทางที่พี่วาตะจะเก็บขึ้นมา” เอมี่มองหนูยิ้มด้วยหางตาพร้อมเบะปากใส่เธอเล็กน้อย
“เหมือนเธอนะเหรอ”
“นี่...ยัยน้อยหน่า” เอมี่มองเพื่อนสาวคนสนิทของหนูยิ้มอย่างไม่พอใจ
“จะว่าคนอื่น แต่ไม่ดูตัวเอง พี่วาตะเขาก็ไม่มองเธอเหมือนกันย่ะ ” น้อยหน่าเอ่ยอย่างไม่ชอบใจที่เอมี่มาว่าเพื่อนของตัวเอง แต่เอมี่ยังไม่ทันได้เอ่ยโต้ตอบอะไร
“พี่วาตะ มารับเอมี่ไปทานข้าวใช่ไหมคะ”
“อืม..ไปกันยัง” วาตะมองหนูยิ้มเล็กน้อยแต่ท่าทีของเขามันมีแต่ความเย็นชา
ตอนแรกวาตะไม่คิดสนใจเอมี่ด้วยซ้ำ แต่เขารู้สึกว่าถ้าปล่อยหนูยิ้มไปเฉย ๆ หญิงสาวคงทำตัววุ่นวายกับเขาไม่เลิก
“ไปกันเลยค่ะ”
วาตะและเอมี่เดินออกไปจากตรงนั้น หนูยิ้มได้แต่มองตามทั้งสองคนที่เดินออกไปโดยที่มือของเอมี่ควงแขนวาตะเดินไปแถมยังหันกลับมายิ้มเยาะเย้ยเธออีกด้วย
“แกโอเคไหม” น้อยหน่าจับลงที่ไหล่ของหนูยิ้มราวกับกำลังเรียกสติของคนที่เอาแต่มองไปยังวาตะ
“โอเคสิ มีอะไรให้ไม่โอเค” หนูยิ้มยิ้มให้น้อยหน่าอย่างข่มอารมณ์เอาไว้และบอกตัวเองว่าไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น
“งั้นไปกินข้าวกัน” หนูยิ้มพยักหน้าให้เพื่อนของตัวเองอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันไปเก็บของ
ผ่านมาอาทิตย์กว่า
หนูยิ้มยังคงหายไปจากสายตาของวาตะ เธอไม่มาดักรอหรือคิดจะมาแอบมองชายหนุมด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนี้วาตะคิดว่าหนูยิ้มคงไม่คิดสนใจตัวเอง แต่ความเป็นจริงแล้วหนูยิ้มมีเป้าหมายที่น่าสนใจมากกว่าการมานั่งดักรอชายหนุ่ม
“หนูยิ้มมันจะดีเหรอ” น้อยหน่าเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังมาดักรอป้าแม่บ้านคนใหม่ของเพนท์เฮาส์วาตะ
“ดีสิ”
“ครั้งก่อนก็โดนจับได้”
“แล้วไง โดนจับได้ ก็โดนไปสิ” หนูยิ้มเอ่ยอย่างไม่สนใจ
“เราล่ะยอมใจเธอจริง ๆ” น้อยหน่าที่รู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางห้ามหนูยิ้มได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่สนับสนุนเพื่อนเท่านั้น
ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนครั้งก่อน แต่สุดท้ายด้วยอำนาจเงินทำให้หนูยิ้มสามารถเข้าไปในเพนท์เฮาส์ของวาตะได้อีกครั้ง
ทางด้านของวาตะ เขาหงุดหงิดไม่น้อยที่อยู่ ๆ หนูยิ้มหายไป แถมทุกครั้งที่เขาเจอหญิงสาวก็จะเจอตอนที่อยู่กับเจเจที่มหาวิทยาลัย
วาตะเดินเข้ามาภายในเพนท์เฮาส์ด้วยท่าทีหัวเสีย มากกว่าทุกวันด้วยเพราะคำพูดของเพื่อนของเขาที่บอกว่าหนูยิ้มหายไปเพราะไปคบกับคนอื่นแล้ว แม้ว่าท่าทีที่แสดงออกมาจะเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ในใจอยากจะไปถามหนูยิ้มให้รู้แล้วรู้รอดว่าผู้ชายคนนั้นตอนนี้มีสถานะเป็นอะไรกับหนูยิ้ม
วาตะที่เดินเข้ามาภายในเพนท์เฮาส์ได้เพียงไม่กี่ก้าวต้องหยุดการขยับเท้า เพราะเขาเห็นหญิงสาวที่กำลังยืนหันหลังกำลังทำงานบ้านอยู่โดยไม่ได้แต่งตัวปิดบังตัวเองเหมือนแต่ก่อน ละเจ้าของร่างระหงที่กำลังตั้งใจทำงานบ้านอยู่นั้นวาตะจำรูปร่างของสาวคนนี้ได้
“เธออีกแล้วเหรอ...นี่เธอกล้ามากนะ
”