ตอนที่ 6 คนไม่เคยรู้จัก
@สนามแข่งรถ วาตะ บางกอก เซอร์กิต
สายตาคู่คมของวาตะมองตรงไปยังสนามแข่งรถที่ตอนนี้ยังมีรถแข่งที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วของการวิ่งไปไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว แต่เจ้าของสนามร่างสูงยังคงมองตรงไปอย่างไม่คิดจะละสายตา
แม้ว่าวาตะเหมือนจะให้ความสนใจกับการแข่งรถด้านหน้าแต่เขากลับกำลังคิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ เมื่อ 4 ปีก่อน
วาตะเด็กหนุ่มที่ถูกพากลับมาจากต่างจังหวัด ถูกพ่อแม่บังคับและควบคุมการใช้ชีวิต เพียงเพราะว่าเชื่อคำพูดของคนอื่นแต่ไม่เชื่อคำพูดของลูกชายตัวเอง
วาตะรู้สึกขอบคุณปู่คุณย่าของเขาไม่น้อยที่มอบมรดกให้กับเขาโดยตรงแม้ในวันที่ท่านทั้งสองจากไปแล้ว เมื่อเขาบรรลุนิติภาวะก็สามารถจัดการด้วยตัวเอง ทำให้ตอนนี้วาตะเป็นอิสระจากพ่อและแม่ของเขาอย่างเต็มตัวไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกท่านสองคน
“พี่วาตะ” เสียงของรุ่นน้องคนสนิทที่ดังขึ้นเรียกให้วาตะออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
“ว่าไง”
“รอบหน้าพี่จะลงแข่งไหม”
“ไม่…วันนี้ฝากสนามหน่อยนะ” วาตะพูดจบก็ออกจากห้องทำงานในสนามแข่งของตัวเอง ตรงไปหาเพื่อนของเขาทั้ง 3 คน ที่วันนี้มารวมตัวกันที่สนามแข่งรถของวาตะแทนที่จะเป็นผับของอคิณณ์
ย้อนไปในวันแรกที่วาตะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
“เฮ้ย…ชื่อไรอ่ะ” อยู่ ๆ ก็มีเสียงทักทายจากเด็กในคณะเดียวกับวาตะ ซึ่งเดินเข้ามาทักทายคนที่นั่งเงียบอยู่ใต้ต้นไม้หน้าตึกคณะ
“วาตะ”
“โจฮันนะ คนนี้ธาม และคนนี้อคิณณ์”
“อืม”
“อืม? แค่นี้” โจฮันไม่อยากจะเชื่อว่าวาตะจะตอบเขากลับมาแค่นั้น ทั้ง ๆ ที่เขามาเพื่อทำความรู้จักกับอีกฝ่าย
“…”
“เป็นเพื่อนกับพวกเราไหม” ธามเอ่ยแทนโจฮัน
“อืม” วาตะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินถึงจุดประสงค์ของทั้งสามคน
“งั้นไปหาอะไรกิน” อคิณณ์เอื้อมมือมาให้วาตะจับเพื่อให้อีกฝ่ายลุกจากพื้น
มิตรภาพเล็ก ๆ ของทั้งสามคนทำให้คนที่เข้าเรียนช้ากว่าเพื่อน ๆ หนึ่งปี และคนที่พยายามไม่เชื่อใจใครได้รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะแย่และนำปัญหามาให้กับเขา มิตรภาพที่หนุ่มๆทั้ง 4 คน ผ่านมาร่วมกันไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม
วาตะที่ดูหน้าหวานสุดแต่มักเป็นตัวเปิดก่อนใครเพื่อน แม้สุดท้ายจะจบลงที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็ตาม
....
เย็นวันศุกร์
17.30 น.
ชายในชุดเสื้อช๊อปสีแดงเลือดหมูพากันมายืนมองนักศึกษาปีหนึ่งที่ตอนนี้กำลังทำกิจกรรมรับน้อง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลก และที่แปลกนั้นก็เพราะตรงนี้ไม่ใช่คณะวิศวกรรมศาสตร์ที่พวกเขาควรยืนอยู่ แต่กลับเป็นคณะนิเทศศาสตร์ คณะที่ใคร ๆ ก็ต่างพูดว่าเด็กปีหนึ่งของปีนี้สวยกว่าคณะอื่น ๆ
“ไหนเด็กที่มึงว่า โจฮัน” ธามเอ่ยอย่างเซ็ง ๆ เพราะเขายืนอยู่ตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่เห็นคนที่โจฮันเพื่อนของเขาพูดถึง
“นั่นไง คนที่กำลังเดินมาทางนี้” โจฮันเอ่ยขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่กิจกรรมรับน้องจบลงพอดี ทำให้นักศึกษาปีหนึ่งพากันทยอยเดินออกมา
แต่ดูเหมือนน้อง ๆ ปีหนึ่งในตอนนี้ไม่น่าสนใจเท่ากับตัวท๊อปทั้ง 4 ของคณะวิศวะที่มายืนเรียงหน้ากัน
เสียงกรี๊ดกร้าดผสมบทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำชื่นชมของเหล่านักศึกษาสาว เรียกความสนใจของหนูยิ้มที่เดินมาพร้อมเพื่อนสนิทให้หันไปมองยังฝูงชนอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พี่วาตะ” หนูยิ้มเอ่ยออกมาอย่างละเมอ เมื่อเห็นใบหน้าของคนตรงหน้า ที่ตอนนี้มีสาว ๆ รุมล้อมอยู่
“รู้จักเหรอ” น้อยหน่าเอ่ยถามพร้อมมองตรงไปอย่างสงสัย ซึ่งหนูยิ้มก็พยักหน้ารับอย่างไม่คิดจะปฏิเสธ
“พี่วาตะ” เสียงหวานดังออกมาด้วยความสดใสอีกครั้ง พร้อมมือเรียวของร่างระหงได้ยกมือขึ้นเพื่อทักทายอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่วาตะมองมาทางหนูยิ้ม และยกมือขึ้นเหมือนกับทักทายเธอ ใบหน้าอันหล่อเหลายิ้มออกมาเล็กน้อย เหมือนกำลังรับรู้สิ่งที่หญิงสาวกำลังสื่อ
“เอมี่” แต่เหมือนทั้งหมดหนูยิ้มจะเข้าใจผิด เพราะชื่อที่วาตะเอ่ยเรียกชื่ออกมานั้นไม่ใช่ชื่อของเธอ และสายตาของวาตะที่เมินเฉยผ่านหนูยิ้มไปมองยังสาวสวยอีกคนที่กำลังเดินมาข้างเธอ
“พี่วาตะ เอมี่ไม่คิดเลยนะคะว่าจะเจอพี่ที่นี่” เอมี่เดินเข้าไปควงแขนของวาตะพร้อมเอ่ยพูดคุย ซึ่งวาตะไม่ได้คิดจะปฏิเสธหญิงสาว
“คนนั้นหนูยิ้มใช่ไหม” ธามเอ่ยถามพร้อมมองตรงไปยังนักศึกษาสาวหน้าลูกครึ่ง
“ใช่ค่ะ พี่รู้จักด้วยเหรอคะ”
“สาวสวยตัวท๊อปของคณะพี่จะไม่รู้ได้ไง จะว่าไปสวยจริง ๆ” เอมี่ที่ได้ยินคำชมของธามก็กำมือเข้าหากันแน่น
“หึ สวย แต่จะสวยยังไงก็พวกบ้านนอกอยู่ดีนั่นแหละ” เอมี่บอกความคิดที่แสนจะดูถูกอีกคนออกมา วาตะแสร้งยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมเอาแต่มองไปยังหนูยิ้มด้วยสายตาว่างเปล่าและเมินเฉย
“พี่วาตะรู้จักเหรอคะ”
“ไม่ ไม่รู้จัก” วาตะบอกคนทั้งกลุ่มออกไปแบบนั้น
สายตาที่วาตะส่งให้กลับหนูยิ้มมันมีแต่ความเย็นชา ซึ่งทำให้คนที่ถูกมองสัมผัสมันได้ อีกทั้งตอนนี้เริ่มมีเสียงซุบซิบเรื่องที่หนูยิ้มแสดงท่าทีเหมือนรู้จักวาตะ แต่ทุกคนต่างยิ้มเยาะมากกว่าเพราะวาตะนั้นไม่ได้สนใจหรือแม้แต่จะทักทานหนูยิ้มเลย
ตอนนี้หนูยิ้มจึงถูกมองว่าอยากจะเข้าหาและทำความรู้จักชายหนุ่มจนออกนอกหน้า กลับกันทุกคนต่างที่จะชื่นชมเอมี่ที่เป็นตัวจริงที่วาตะทักทายก่อนเสียด้วยซ้ำ
“หนูยิ้มเราว่าไปกันเถอะ” น้อยหน่าเอ่ยกระซิบเพื่อนของตัวเอง ซึ่งหนูยิ้มที่หุบยิ้มลง สีหน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัด หนูยิ้มยืนฟังคำว่าต่อว่าและคำพูดที่เหมือนประชดประชันเธอจากคนอื่น ๆ ก่อนที่จะพยักหน้ารับคำชวนของน้อยหน่าก่อนเดินออกมาจากเหล่านักศึกษาไป
“แกรู้จักพี่เขาจริง ๆ เหรอ” น้อยหน่าเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะจากที่เธอเห็น เหมือนเพื่อนของเธอและอีกฝ่ายจะรู้จักกัน
“ใช่”
“รู้จักกันตอนไหน”
“ตอนที่เราอยู่สระแก้ว ก่อนจะไปอยู่น่านนะ” หนูยิ้มเลือกที่จะพูดออกไปแค่นั้น เพราะเธอคิดว่าการที่จะพูดว่ารู้จักกับวาตะเพราะอีกฝ่ายเป็นรักแรกที่ทิ้งตัวเอง มันก็คงดูไม่ดี
“อ๋อ แต่เอมี่ก็เหมือนจะสนิทกับพี่วาตะเหมือนกันนะ”
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ” ตอนนี้สีหน้าของหนูยิ้มดูไม่ดีเลยก็ว่าได้เหมือนหนูยิ้มมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา
“ไปหาอะไรกินดีกว่า” น้อยหน่าเอ่ยเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนตัวเอง
หนูยิ้มเดินตามน้อยหน่าออกมาด้วยสีหน้าสิ้นหวังเพราะวันนี้เธอแน่ใจแล้วว่าวาตะนั้นเกลียดเธอแล้วจริงๆ ในช่วงเวลา 4 ปี ห่างหายกันไป หนูยิ้มยังคงมีความหวังว่าที่วาตะปิดช่องทางติดต่อนั้นอาจจะมาจากพ่อและแม่ของเขาที่โกธรมากในวันที่เกิดเรื่อง
หนูยิ้มยังแอบคิดไปว่าตัววาตะจะให้โอกาสเธอได้บอกกับเขาสักครั้งว่า เธอไม่ได้รู้เรื่องนั้นจริงๆ หากวาตะจะไม่รับฟังก็ขอเพียงให้หนูยิ้มได้ขอโทษตัวตัวเอง อย่างน้อยก็เป็นการขอโทษแทนพ่อแม่ของเธอที่ทำแบบนั้นลงไป
น้ำตาที่คลอตาของหนูยิ้มค่อยถูกเธอพยายามสลัดให้หายไป ก่อนจะหันหน้ามายิ้มให้น้อยหน้าพร้อมทำหน้ายู่เหมือนจะบอกเพื่อนสาวว่า ‘ไม่เป็นไร’
“เจ็บเหรอ” เป็นน้อยหน่าที่เอ่ยปากถามเพื่อนออกไปตอนเดินคู่กันไป
“อืม...มากๆเลย” หนูยิ้มตอบแล้วพลางถอนหายใจยาว
“เอาไว้ช่วยหาแฟนให้ เอาให้หล่อระเบิดระเบ้อเลย”
“ขอบใจนะน้อยหน่าแต่เราล็อคเป้าหมายไว้แล้ว”