ธารทิพย์สายน้ำวิเศษ
ตอนที่ 1
ธารทิพย์สายน้ำวิเศษ
แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่สาดส่องกระทบผิวน้ำของลำมูลก่อเกิดเป็นแสงระยิบระยับแปลกตาคล้ายดั่งมีเกร็ดอัญมณีหลากสีกลิ้งไปมาบนผืนธาราแห่งนี้ แม่น้ำมูลถือเป็นลุ่มน้ำสำคัญของพื้นที่ภาคอีสานตอนใต้จุดเริ่มต้นนั้นมาจากแนวทิวเขาพนมดงรักตั้งแต่เขตนครราชสีมา และไหลผ่านบุรีรัมย์ สุรินทร์ เพื่อไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่จังหวัดอุบลราชธานี
วันนี้สายน้ำมูลไหลเอื่อยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยแรงยิ่งนัก
ไม่ต่างจากหญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนมองริมลำน้ำในตอนนี้ เธอคือ ธารทิพย์ นักศึกษาสัตวแพทย์ ที่มาเข้าค่ายอบรมลงพื้นที่หมู่บ้านช้างของสุรินทร์เพื่อดูแลและรักษาช้างป่วยหลายตัว ตามหลักสูตรการเรียนในภาคปีที่สี่
การมาเมืองสุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ในคราวนี้ ไม่ค่อยได้รับความเห็นด้วยจากมารดาเท่าใดนัก และยังได้กำชับและคอยเตือนมาเป็นระยะว่าอย่าให้เข้าไปในเขตป่าบนเขาพนมสวาย
สาเหตุอันใดนั้น เธอไม่อาจจะทราบได้
รู้แต่เพียงว่าเธออยากมาที่นี่นักด้วยเพราะใจลึกๆบอกว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องมาให้ได้ แม้ที่ผ่านมานั้นพ่อกับแม่จะทัดทานมาตลอดว่าหากไม่จำเป็นอย่าเดินทางมาแถบพื้นที่ทางนี้อย่างเด็ดขาด
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเลือกที่จะเข้าค่ายที่นี่ ทันทีที่เห็นรายชื่อค่ายปรากฎในตาราง
“อีกไม่กี่วันก็วันเกิดทิพย์แล้วนะพ่อ เข้าค่ายที่สุรินทร์เสร็จก็คงได้กลับมาฉลองวันเกิดที่บ้าน อย่าลืมเตรียมของขวัญไว้ให้หนูด้วยนะ”
เธอใช้น้ำเสียงออดอ้อน นายแพทย์โกศล ผู้เป็นบิดาดั่งเช่นทุกครั้งที่ต้องการสิ่งใด และนั่นก็ทำให้มุมปากของโกศลยกยิ้มออกมา ก่อนจะหันหน้าไปมองกับ กอบกุล ผู้เป็นภรรยา
“จะไปให้ได้เลยนะทิพย์ มันอะไรหนักหนา มีค่ายในภาคกลางหลายที่ใกล้ๆบ้านก็เยอะแยะ ทำไมต้องไปซะไกลขนาดนั้นด้วยลูก” ผู้เป็นแม่บ่นอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก
“ไกลที่ไหนกันแม่สุรินทร์ใกล้แค่นี้เองนั่งเครื่องลงบุรีรัมย์ไม่ถึงชั่วโมง ไม่ต้องห่วงน่าทิพย์จะดูแลตัวเอง”
“อย่าลืมที่พ่อบอกนะ...อย่าไปใกล้ทางพนมสวายและแม่น้ำมูลห่างได้ก็ห่างเสีย”
คำสั่งของผู้เป็นบิดายังคงดังก้องอยู่ในหู
เข้าใจว่าพ่อคงจะห่วงที่เธอว่ายน้ำไม่เป็น แม้จะฝึกมาตั้งแต่เด็ก แต่ทุกครั้งที่ร่างกายจมลงไปในสระน้ำธารทิพย์ก็รู้สึกว่ามวลมหาศาลนั้นคล้ายจะดูดกลืนตัวตนของเธอลงไป นั่นทำให้ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใด ก็ไม่เป็นผล
คล้ายพ่อของเธอทราบในจุดนี้
จึงตั้งชื่อเธอว่า ธารทิพย์ หมายถึงหญิงสาวที่เป็นดั่งสายน้ำทิพย์ที่แสนวิเศษ คิดแล้วเธอก็รู้สึกตลกตัวเองนัก ชื่อธารทิพย์แต่โดนสั่งเสมอ ว่าอย่าอยู่ใกล้น้ำ
เมื่อโดนห้ามนักห้ามหนาในเวลาที่ผ่านมา วันนี้เธอเลยมานั่งมองลำน้ำมูลที่ไหลเอื่อยเชื่อยในยามเย็นอย่างเพลิดเพลิน ด้วยอยากจะทำเช่นนี้มานานแล้ว
“ยังไม่กลับอีกเหรอทิพย์ เห็นเหลือรถอีกแค่รอบเดียวเองนะ จะมืดค่ำเสียก่อนนะ”
เสียงทักจากด้านหลังของ สุเทพ เพื่อนที่เรียนสัตวแพทย์ด้วยกัน นั่นทำให้เธอหันไปมองและเอ่ยตอบ
“อ้าวเทพ กรุ๊ปแกเสร็จแล้วเหรอ ...ดีเลยเดี๋ยวฉันขอกลับหอพักด้วยละกัน” ธารทิพย์เหยียดกายลุกขึ้น ด้วยเห็นว่าสุเทพเอารถมอเตอร์ไซด์มา ด้วยเพื่อนหนุ่มมีพื้นเพแถวนี้เมื่อมาฝึกค่ายใกล้บ้าน จึงเอารถมาใช้ที่หอพักที่ทางมหาลัยจัดเตรียมไว้ให้
“ได้ๆรอเราแปปนะ เดี๋ยวเราแวะไปเอาของแปปเดี๋ยววันนี้เราพาไปกินข้าวร้านอร่อยริมลำมูลกัน ..ยืนอยู่แค่ตรงนี้นะอย่าเดินลงตลิ่งไปข้างล่างเด็ดขาด”
เอ่ยเสร็จสุเทพก็ขับมอเตอร์ไซด์ออกไปอย่างเร่งรีบ
ชิ!!! ทำไมคนรอบข้างต้องปฎิบัติต่อเธอราวกับว่าเป็นเด็กสิบขวบเสมอ แม้แต่เพื่อนๆรอบตัวของเธอเอง หรือเห็นว่าเธอเป็นลูกของอาจารย์แพทย์โกศล ที่ผู้คนล้วนให้ความเคารพนับถือ
ความจริงปีนี้เธอก็อายุย่างยี่สิบห้าบริบูรณ์แล้ว
เธอโตพอที่จะสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ลำพังการเรียนสัตวแพทย์ก็เครียดพอแล้ว แค่เดินลัดเลาะตลิ่งลำแม่น้ำมูลแค่นี้จะเป็นอะไรกันหนักหนา
ว่าแล้วก็เดินลงไปเสียหน่อย
“ทิพย์”
เสียงเรียกแผ่วเบาแว่วมากลับสายน้ำ ขณะที่เธอกำลังสาวเท้าลงไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นปลาฝูงใหญ่ว่ายวนอยู่และตั้งใจจะเอาขนมปังที่เหลือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อไปโรยและดูใกล้ๆเสียหน่อยว่าเป็นปลาอะไร
“ทิพย์!”
เธอชะงักและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้นอีกรอบ ด้วยคราวแรกคิดว่าตัวเองคงจะหูแว่วไปเอง แต่ครั้งนี้คล้ายได้กลิ่นดอกลำดวนผสานดอกปีป (ดอกกาสะลอง) อยู่ใกล้ๆ นั่นทำให้เธอหันไปมองรอบข้างอย่างฉงน
ไม่มีใคร หรือสิ่งใดอยู่ใกล้รอบตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
“ทิพย์ ...แม่คิดถึงลูกมาก”
แม่งั้นเหรอ?
ธารทิพย์ ตาเบิกโพลงจับผมยาวสลวยของตัวเองที่หลุดหรุ่ยมัดขมวดขึ้นด้านหลัง ด้วยไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากไหน และเป็นใครที่มาเรียกตนว่า ลูก ในเมื่อตอนนี้แม่กอบกูลของเธอก็น่าจะอยู่บ้านพักที่กรุงเทพกับนายแพทย์โกศลผู้เป็นบิดา
แล้วเสียงเรียกนี่คือใครกัน?
“ใคร?”
เธอเอ่ยถามอย่างฉงน เมื่อเทเศษขนมปังในถุงลงน้ำจนหมด และฝูงปลาขาวสร้อยขนาดใหญ่ต่างกรูเข้ามากินจนน้ำริมตลิ่งเกิดเสียงดังกลบเสียงแว่วเมื่อสักครู่หายไปสิ้น
สงสัยคงหูแว่วไปเอง
“ทิพย์เสร็จยัง? ไปกันเถอะ”
เสียง สุเทพ เรียกอยู่ด้านบนโดยนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งที่จอดอยู่บนถนนริมตลิ่ง นั่นทำให้ธารทิพย์เหยียดกายลุกขึ้น เพื่อจะเตรียมเดินขึ้นไปด้านบนด้วยรู้สึกเริ่มจะหิวแล้ว
“รอแปปนะเทพ”
“เดินระวังหน่อยนะตลิ่งมันลื่นและชัน ทำไมมามุมตรงนี้ละ! ตรงที่มีบันใดฝั่งโน้นไม่เดินไป”
“ตรงนี้มันเงียบดีและเราอยากจะลงมาดูปลา”
เธอตะโกนตอบเสียงดัง พยายามก้าวขึ้นเนินอย่างระมัดระวัง วันนี้เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งที่คล่องตัว หากต้องใส่ชุดกระโปรงเช่นดังปกติคงจะไม่กล้าเดินลงมาตรงนี้แน่นอน
วี้ดๆวิ้วๆๆๆ
สายลมกรรโชกแรงมาวูบใหญ่ คล้ายดั่งฝนจะตกจนผิวน้ำมูลกระเพื่อมไหวเป็นระลอก ทำให้ธารทิพย์จ้ำเท้าเร็วขึ้นด้วยเกรงว่าฝนจะตกก่อนจะไปถึงร้านอาหาร
นั่นทำให้เธอก้าวพลาด และลื่นไถลตกจากตลิ่งชัน
พลั่ก!!
“อุ้ย! ว้าย กรี๊ดๆๆๆๆ”
“ทิพย์!!!”
ตูม!!!!!! โครม!!
ร่างของเธอกลิ้งสามตลบก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำมูลอย่างรวดเร็ว จนสายธารากระเซ็นกระซ่านกระจายไปในวงกว้าง ธารทิพย์พยายามตะเกียกตะกายด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เพราะตระหนักดีว่านี่เป็นแค่ริมตลิ่งน้ำอาจไม่ได้ลึกมาก
“อึกๆ ชะ..ช่วยด้วย”
เธอพยายามกรีดร้องเรียก และมองเห็น สุเทพ รีบวิ่งลงมาด้านล่าง ก่อนจะกระโดดลงน้ำเพื่อมาช่วยเธอ แต่เหมือนร่างของเธอถูกมวลน้ำขนาดใหญ่ห่อหุ้มและดูดกลืนตัวตนเธอให้จมดิ่งลงยังเบื้องล่าง และห่างออกจากร่างของสุเทพที่พยายามจะว่ายมาใกล้
เหมือนร่างของเธอจะไกลออกมาทุกที
นี่เธอคงจะต้องมาจบชีวิตลงเพราะจมน้ำที่แม่น้ำมูล ไม่ห่างจากค่ายที่ฝึก ช่างน่าเศร้าเสียจริง ธารทิพย์รำพึงกับตัวเอง
....ก่อนที่สติสัมปัญญะของเธอจะค่อยๆดับวูบลง