ตอนที่ 10
ร่วมขบวน
“เอ็งรู้ตัวรึไม่?..ว่ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตายเสียให้ได้”
เขาพูดอะไรกัน? ธารทิพย์ ไม่เห็นจะเข้าใจว่าตัวเองไปทำให้เขาคลั่งตอนไหนกัน นายฮ้อยเพลิงถึงได้ตะโบมจูบเธออย่างมูมมามเช่นนี้ จนธารทิพย์รู้สึกราวกับว่าลมหายใจเธอเริ่มขาดห้วง มือนิ่มตีอกแกร่งเขาอย่างแรงคล้ายต้องการประท้วง นั่นทำให้เขาถอดถอนริมผีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“ปะ..ปล่อยฉัน นายฮ้อยกำลังรุ่มร่ามกับฉันอยู่”
เขายอมผละหน้าออกห่างจากเธอเพียงนิด แต่มือหนายังคงโอบเอวคอดไว้หลวมๆ ไม่ยอมให้ร่างเธอขยับห่างไปไหน
“ไหนเอ็งบอกอยากร่วมทัพควายกับข้ามิใช่รึ?”
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้ายไม่ใส่ใจท่าทีร้อนรนของเธอเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้สองแก้มนวลของเธอแดงระเรื่อขึ้นกว่าเดิมด้วยความเขินอายเมื่อสบตาคมปลาบของเขา
“นายฮ้อยยังไม่ตอบคำถามฉัน ใยถึงรู้ว่าจะเจอฉันระหว่างทางที่ริมน้ำมูล? บอกมาก่อนไม่งั้นฉันไม่ยอม!”
ธารทิพย์เอ่ยเสียงแข็ง แม้ไม่รู้ว่าคำว่าไม่ยอมของเธอนั้นจะไปทำอะไรเขาได้ และเขาคงไม่สะทกสะท้านอันใด แต่คงเป็นถ้อยคำป้องกันตัวของเธอที่ต้องการคำตอบนี้
มุมปากหยักได้รูปของ นายฮ้อยเพลิงยกยิ้มเล็กน้อย
“เวลาเอ็งทำหน้าเช่นนี้มันยั่วข้ามากเลย” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆบริเวณซอกคอขาวของเธอและขบเม้มๆเบาๆ และกระซิบเสียงแหบพร่า
“ข้าจะบอกเอ็ง ...บอกทุกอย่างเมื่อถึงเวลาที่สมควร”
หญิงสาวตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ หมายความว่านายฮ้อยผู้นี้รู้ทุกอย่างจริงๆว่าจะเจอเธออยู่ริมน้ำมูล แต่เขาจะรู้อะไรมากกว่านั้นเธอมิอาจคาดเดาได้
พลันเธอก็นึกถึงคำของหลวงพ่อที่บอกเธอไว้ตอนได้สติ
“บรุษแห่งไฟเท่านั้น ที่จะเป็นคนนำทางให้เจ้าได้”
อย่างไงเธอก็ต้องพึ่งพาเขาซินะ!! ไม่ว่าเขาจะบอกหรือไม่
“แล้วเวลาที่เหมาะสมคือตอนไหนเหรอ?”
กระนั้นเธอก็เอ่ยถามเขาเบาๆด้วยความใคร่รู้ และเงยหน้ามองหน้าหล่อเข้มนั้นอย่างวิงวอน คล้ายเหมือนตัวเองกำลังหลงทางอยู่ที่ใดที่หนึ่ง และหนทางแห่งแสงสว่างนั้นคงมีเพียงเขาผู้เดียวที่จะนำทางให้เธอได้
นายฮ้อยเพลิงหลุบตาต่ำมองเธอ กรามของเขาบดเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูนเด่น คล้ายต้องการข่มความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจ ด้วยร่างนุ่มนิ่มนี้เบียดเสียดอยู่ในอ้อมแขนของเขา แถมนัยน์ตาคู่สีน้ำตาลนี้ก็มองเขาอย่างเว้าวอน
“อีกไม่นานดอก ช่วงนี้พยายามอยู่ใกล้ข้าที่สุด”
เขาปล่อยวงแขนออกจากเธอ ให้หญิงสาวเป็นอิสระและร่างบางนั้นก็ถอยกรูดไปจนชิดกับผ้าม่านที่กั้นไว้
“กลับไปเก็บของเสียให้เรียบร้อย ช่วงระหว่างเดินทางเอ็งจะพักอยู่กับคะนิ้งและรำพึง เราจะเดินทางโดยเกวียนและม้า เอ็งทั้งสามจะต้องอยู่ในเกวียน”
แม้จะฉงนกับคำสั่งของเขาเพียงใด ที่ตอนแรกบอกจะนำเธอไปฝากยังที่ปลอดภัย แต่ในขณะนี้กลับต้องการอยากจะให้เธอร่วมทัพควายไปด้วยเสียเอง แถมยังสั่งให้เธอห้ามอยู่ห่างเขาเพื่อความปลอดภัยเสียอีก
...แต่เธอมีทางเลือกอื่นด้วยรึ?
“นายฮ้อยๆครับ ควายหลายตัวฝูงของไอ้โฮกเหมือนสิมีปัญหาแล้วละ มันบ่ยอมลุกเลยหญ้าน้ำก็บ่ยอมกิน จักมันเป็นหยังอาการคือซิหนักอยู่”
เสียงไอ้เข้ม ตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกล นั่นทำให้นายฮ้อยเพลิงรีบปรี่ออกไปอย่างร้อนรน ธารทิพย์ได้แต่มองตามหลังหนาของเขาที่วิ่งออกไปอีกฝั่งที่วัวควายหลายตัวนอนอยู่ เท่าที่เธอทราบ ทัพควายที่ใหญ่เช่นนี้จะแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม
โดยแต่ละฝูงนั้นนอกจากจะมีคนคอยคุมแล้ว ยังมีวัวหรือควายประจำกลุ่มอีกด้วย และยังมีวัวหรือควายที่เป็น จ่าฝูง ขบวนละสองตัว โดยจ่าฝูงเอกจะเดินนำหน้า จ่าฝูงรองจะเดินท้าย และได้รับการตกแต่งอย่างดีเรียกว่า เอ้ โดยการใส่กระบังตาเพื่อไม่ให้เกิดความวอกแวก และใส่ขลุมที่ทำด้วยหวายที่ปากไม่ให้พะวงกินหญ้าตามทางจนการเดินทางเกิดการล่าช้า
วัวและควายจ่าฝูงจะได้รับการฝึกเป็นอย่างดีโดยมีโปงลาง ติดไว้กับหลังเวลาเกิดเหตุด่วนที่ไม่คาดคิดขึ้นกับฝูงที่ตนควบคุมอยู่ จ่าฝูงจะแกว่งโปงลางให้เกิดเสียงดัง ผู้คนในกองคาราวานทัพควายจะรีบรุดไปยังต้นเสียงนั้นทันที
คาดว่าจ่าฝูงดังกล่าวที่กำลังกินหญ้าอยู่ไกลๆอาจส่งสัญญานบางอย่างมาเป็นแน่แท้
นั่นทำให้ ธารทิพย์ กระหายใคร่อยากรู้นัก ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจ่าฝูงดังกล่าวจึงได้ส่งสัญญานมายังผู้คนแบบนี้ เธอจึงเดินตามหลังของนายฮ้อยและคนงานของเขาไปคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
ควายรูปงามประมาณสิบตัวนอนนิ่งไม่ขยับ บางตัวน้ำลายฟูมปากคล้ายว่าสิ้นใจไปแล้ว
“มื้อวานข่อยก็ยังเห็นมันดีๆอยู่กินน้ำกินหญ้าบักอย่างหลาย ฮักตอนเช้าคือจั่งเป็นจั่งซิน้อควายงามนำตั๋วนิ ฮือๆ”
ใครคนหนึ่งคร่ำครวญ จริงอยู่ว่าการค้าวัวควายนั้นบางส่วนส่งเข้าโรงเชือดแต่เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่การค้าวัวควายสมัยนั้นเพื่อใช้เป็นธนาคารแลกเปลี่ยนรับฝากวัวควายสำหรับใช้งานหนักที่ช้างทำไม่เหมาะ เช่นการไถนา การลากเกวียน ซึ่งสมัยนั้นชาวบ้านบางส่วนอาจไม่สะดวกเลี้ยงด้วยต้นทุนที่สูงเกินไป
การรับฝากของระบบนายฮ้อยจึงเป็นที่นิยม วัวควายบางตัวนั้นจะเลี้ยงดูแลอย่างดีและผูกพันธ์ราวกับคนในครอบครัวของคนงานบางคนเสียอีก การเสียชีวิตของวัวควายบางตัวจึงไม่ต่างจากการจากไปของผู้เป็นที่รัก
“มันเป็นอีหยังนี่ ไผเฮ็ดหยังมันน้อ”
หมอสรวง คนที่ดูเชี่ยวชาญในทัพย่อเข่าลงเล็กน้อย และเอื้อมมือไปแตะยังใต้โคนขาของควายทุกตัว ก่อนจะถอนหายใจออกมา “มันบ่รอดดอกนายฮ้อย อีกสามตัวนี้ก็ไม่น่าจะรอด เหมือนอวัยวะภายในมันถูกทำลายจนหมดแล้ว”
คำบอกของหมอสรวงนั้น ทำให้นายฮ้อยเพลิงผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ขณะที่นั่งย่อกายลงข้างๆกับควาย
มือหนาของเขากดยังหน้าผากของควายแต่ละตัวก่อนจะหลับตาและสวดพึมพำอะไรบางอย่าง
“โคธนุ กุปิโลกะ โอปะปิติ ประปาติกะ...”
“อีกสามตัวก็ไม่น่าจะรอดดอกนายฮ้อย”
ชายอีกคนที่ดูอายุอานามราวสามสิบกว่าปี ย่อกายลงนั่งข้างๆนายฮ้อย ซึ่งธารทิพย์เคยได้ยินไอ้เข้มตะโกนเรียกเมื่อวานว่าคือ พรานป่าสิงห์ เป็นหนึ่งในผู้ช่วยคนสำคัญของนายฮ้อยเพลิงและของทัพควาย ที่จะดูแลด้านทำเลการเดินทางและยังรอบรู้เกี่ยวกับอาการของสัตว์แต่ละชนิดไม่ต่างจากสัตว์แพทย์เลย
“อาการเช่นนี้ มิใช่อาการป่วยธรรมดาดอก”
พรานสิงห์เอ่ยเสียงเข้ม นั่นทำให้มือหนาของนายฮ้อยกำแน่นเข้าหากัน
“ทัพเรากำลังมีหนอนบ่อนใส้”
หนอนบ่อนใส้อย่างงั้นรึ? ธารทิพย์ตาเบิกโพลงอีกครั้ง ด้วยรู้ว่าหากเกิดเหตุเช่นนี้ในทัพควายนั้นถือเป็นการสร้างความระส่ำที่ศัตรูมักจะเอามาใช้ประจำเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับหัวหน้าทัพและผู้ร่วมขบวน
“แล้วอีกสามตัวนี้จะทำเช่นไรรึนายฮ้อย?”
คนงานตะโกนถาม เมื่อเห็นว่าควายอีกสามตัวยังคงนอนหายใจรวยรดริน นั่นทำให้ธารทิพย์ปราดเข้าไปใกล้และกดไปยังบริเวณลิ้นปี่ของควายอย่างแรง
“พวกมันยังไม่ตาย! ยังมีโอกาสรอดเราต้องรักษามัน”
เธอบอกเสียงดังลั่น และรีบกระโดดขึ้นยังตัวควายเพื่อทำการปั๊มหัวใจ เมื่อสัมผัสได้ว่าควายทั้งสามตัวยังมีโอกาสรอดและมองเธอกับคนงานอย่างมีความหวัง หยาดน้ำใสนั้นไหลออกจากตาพวกมันอย่างน่าเวทนา
คนงานทั้งหมด ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อเห็นเช่นนั้น
“จะรักษามัน แล้วเราจะขนย้ายยังไงกัน”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างลังเล คิ้วหนาของนายฮ้อยเพลิงยกสูงขึ้นหากันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปบอกไอ้บากเสียงเข้ม
“เอาพร้ายาวมาให้กู ...กูจะจัดการให้มันไปสบายเอง”