ตอนที่ 11
เคลื่อนทัพ
“เอาพร้ายาวมาให้กู ...กูจะจัดการให้มันไปสบายเอง”
สิ้นคำบอกของนายฮ้อยเพลิง มีดพร้ายาวเท่าแขนเงาวับก็ถูกนำมายื่นให้ต่อหน้า นั่นทำให้ ธารทิพย์ ตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกเมื่อเห็นนายฮ้อยพยักหน้าให้ไอ้บากดึงร่างบางของเธอให้ออกห่างจากความที่นอนหายใจรวยรินทั้งสามตัว
“มะ..ไม่นะ”
ฉึก!!!ๆๆ
“มะ..มอ”
เสียงจ้วงแทงและกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้นดังอยู่เพียงครู่ ก่อนเหตุการณ์ทุกอย่างจะสงบ และตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกดังลั่นของคนงานเมื่อนายฮ้อยเพลิงได้จัดการเจ้าควายทั้งสามให้สิ้นความทรมาน
“เอ้าเร็วมาช่วยกันหน่อย แล่เนื้อแบ่งพูดไว้ทำกินข้าวหงายกัน เร็วพวกมึงจะได้เคลื่อนขบวนเสียที”
หญิงสาวไม่กล้าแม้จะหันไปมองว่าควายทั้งสามตัวนั้นเป็นเช่นไร เธอรู้สึกอึดอัดในใจจนเกินจะอดกลั้นจะต้องวิ่งออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
เธอรู้สึกโกรธและโมโหนายฮ้อยยิ่งนัก
ตึก ตึก ๆๆ
“เป็นไงบ้างรึทิพย์ ใยถึงเดินไปยังฝูงควายไอ้โฮกละ นายฮ้อยก็บอกแล้วแล้วไม่ใช่รึว่าอย่าพยายามอยู่ห่างเพิง เดี๋ยวเราต้องย้ายขบวนแล้วนะรีบเข้าไปนั่งในเกวียนเสีย ข้ากับคะนิ้งเก็บของเสร็จแล้ว”
รำพึงเอ่ยเมื่อเห็น หญิงลำน้ำมูลวิ่งปรี่มาด้วยท่าทีร้อนรน
“ฮือ ข้าเกลียดนายฮ้อยนัก”
หยาดน้ำใสไหลคลอจนเต็มเบ้าตาและธารทิพย์ก็ปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งยังเกวียนที่เตรียมไว้สำหรับพวกเธอแล้ว
“เป็นอะไรรึ? เอ็งร้องให้ทำไม จะโกรธเกลียดนายฮ้อยด้วยเรื่องอันใดกัน"
คะนิ้งหันมาถามอย่างฉงน เมื่อก้าวขึ้นมานั่งข้างเธอ
“ควายพวกนั้นมันยังคงหายใจอยู่ ยังไม่ตายพวกมันมีโอกาสที่จะมีชีวิตได้ถ้าหากให้เวลาที่จะทำการรักษามัน”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เอ็งหลุดมาจากโลกไหนรึทิพย์จึงเอ่ยเช่นนั้น?”
“ทำไมฉันถึงจะพูดแบบนี้ไม่ได้ นายฮ้อยไม่ฟังและให้โอกาสฉันได้รักษาสัตว์พวกนั้นเลย ทั้งที่มันนอนมองขอความช่วยเหลืออย่างเวทนานัก”
ทำไมถึงไม่มีใครเข้าข้างเธอและเห็นใจควายพวกนั้น แม้แต่คะนิ้งกับรำพึงที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน
“เอ็งรู้ได้เช่นไรว่าควายพวกนั้นมันขอความช่วยเหลือด้วยการอยากให้รักษา มันอาจจะอยากไปแบบไม่ทรมานก็ได้ อีกอย่างนายฮ้อยต้องคุมทัพควายใหญ่เช่นนี้ จะมามัวนั่งสงสารไม่ได้ดอก การช่วยมันและฝูงคือต้องให้ทุกอย่างลื่นไหลไปได้ และควายพวกนั้นทรมานน้อยที่สุด”
รำพึงเอ่ยเสียงราบเรียบ ฟังดูก็มีเหตุผลพอควรจนธารทิพย์อดที่จะมองหน้าของหล่อนด้วยสงสัยไม่ได้ ว่าหญิงสาวชาวบ้านในยุคนั้น จะพูดจาเป็นเหตุผลได้เพียงนี้เชียวรึ
“แต่ข้าก็อดสงสารไม่ได้อยู่ดี”
กระนั้นเธอก็ยังเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ปกติในทัพก็ฆ่าวัวควายตัวที่อ่อนแอทุกวัน เพื่อเลี้ยงคนในทัพให้อิ่มหนำสำราญอยู่แล้ว ไม่ฆ่ามันตอนนี้อย่างไรเสียก็ต้องฆ่ามันอยู่ดี”
มนุษย์เรายากที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่เบียดเบียนสิ่งอื่น
แม้จะเข้าใจในสิ่งที่รำพึงพูด แต่ธารทิพย์ก็อดที่จะสั่นไหวไม่ได้ เธอพอทราบว่าคนในยุคก่อนนั้นจิตใจเข้มแข็งกว่าคนในยุคปัจจุบันยิ่งนัก ไม่ว่าจะหญิงหรือชายเพราะต่างต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อปากท้องและความอยู่รอดอยู่ตน
แต่เธอก็อดที่จะสงสารควายพวกนั้นอยู่ดี
.
.
เถิงเดือนหก ฝนตกย้อย สายลมวอย เสียงอ้อยอิ่น
(เข้าสู่เดือนหกแล้ว ฝนเริ่มตก สายลมเย็นเป็นลมมรสุมที่เริ่มพัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงไต เสียงลมฟังเสนาะหูเหมือนเสียงพิณ)
อุ่นไอดิน กลิ่นหอมแต้ม แซมซ้อน อ้อนกลิ่นฝน
(ผืนดินอิสานที่สะสมไอร้อนแห้งแล้งใว้ช่วงหน้าร้อน พอฝนตกลงมาจะมีกลิ่นหอมพิเศษเหมือนกลิ่นเครื่องดินเผาผสมกับกลิ่นฝนและกลิ่นดอกไม้ที่บานหน้าร้อน เช่นดอกจาน ดอกคูณ ฯลฯ ผสมแต่งแต้มรวมกลิ่นกัน กลายเป็นกลิ่นที่ช่างหอมน่าอภิรมย์ยิ่งนัก)
แมงปอวน ว่อนเกี้ยว เหลียวตาแนม แย้มหาคู่
(ฝูงแมลงปอบินว่อน ขยิบตาจ้องมองเพื่อจีบหาคู่ของมัน)
อีกเทิงหมู่ วิหคน้อย หลอยบินล้อ อ้อแอ่นลม
(เหล่าฝูงนกน้อย บินเล่นกันไปมา ท้าทายสายลม สนุกสนานกับสายลม (ฝูงนกดีใจที่ลมเปลี่ยนทิศเข้าสู่ฤดูฝน)
การเคลื่อนทัพควายเป็นไปในเวลาต่อมา โดยพรานสิงห์กับนายฮ้อยเป็นคนนำทัพอยู่บนอานม้า ตามด้วยฝูงวัวและควายแต่โดยมีจ่าฝูงปิดหน้าหลัง และมีขบวนเกวียนที่ขนผู้คนและสัมภาระตามปิดท้าย ส่วนเกวียนของเธอและเหล่าพ่อหมอนั้นอยู่ด้านหน้าไม่ห่างจากม้าของนายฮ้อยเท่าใดนัก
โดยการเดินทางของทัพควายจะลัดเลาะไปตามทางเกวียนที่ส่วนใหญ่เดิมคือร่องน้ำเต็มไปด้วยทรายที่อัดแน่น เนื่องด้วยสมัยนั้นไม่มีถนนคอนกรีตเสริมเหล็กดั่งเช่นทุกวันนี้ แต่ก็เหมาะกับการใช้เกวียนยิ่งนัก เพราะวัวและม้าที่เทียมนั้นสามารถเดินไปตามถนนได้อย่างปลอดภัย
แต่ธารทิพย์ก็ยังรู้สึกนั่งไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่
และเธอพยายามชำเลืองมองไปด้านนอกตลอด เห็นว่าการเคลื่อนทัพเป็นไปอย่างช้าๆ แม้ด้านหน้าจะเป็นขบวนม้าและก็ไม่ได้เร่งฝีเท้าเท่าที่ควรเพราะยังมีทีมเกวียนและคนเดินเท้าที่ต้อนฝูงควายอีกหลายพันตัวตามกันไปเป็นขบวน
หากเป็นยุคปัจจุบันการเดินทางทั้งวันเช่นนี้เธอคงไปถึงไหนต่อไหนไปแล้ว
ขบวนแวะกินสำรับเที่ยงกันไม่นานนัก ซึ่งเป็นอาหารง่ายๆคือข้าวเหนียวเนื้อทอด ที่ฝ่ายครัวแจกให้คนละห่อสองห่อ แต่ธารทิพย์ปฎิเสธที่จะกิน เธอรู้สึกผะอืดผะอมกับการโยกเยกของเกวียนตลอดเวลาที่นั่งมาจนเวียนหัว
“เอนหลังพักเสียหน่อยก็ได้ เดี๋ยวข้ากับคะนิ้งจะนั่งเบียดๆกัน ไม่เป็นไรดอก”
รำพึงเอ่ยบอกเบาๆเมื่อเห็นหน้าที่ซีดเซียวของเธอ แต่เนื่องจากในเกวียนมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด การเอนกายลงนอนนั้นจะกินพื้นที่ให้เหลือน้อยลง
“อือ..ฉันตาลายไปหมด”
“เอนลงไปเลย เดี๋ยวเย็นถึงจุดพักข้าจะเรียกเอง เอ็งคงเวียนหัวเมื่อคืนก็นอนดึกด้วย พักเสียหน่อยเถิด”
“ขอบใจมาก”
ธารทิพย์เอนหลังลงจากเบาะนุ่มอย่างว่าง่าย เมื่อรู้สึกเหมือนโลกรอบตัวหมุนคว้างไปหมด และด้วยความอ่อนเพลียทำให้เธอหลับหลังจากนั้นไม่นานนัก
.
.
ไม่แน่ใจว่าหลับไปนานเท่าใด แต่เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจจากรอบข้างทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวตื่นขึ้น ซึ่งดูจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่องน่าจะเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว
“เราจะตั้งทัพพักผ่อนกันตรงนี้”
เสียงของ พรานสิงห์ ตะโกนบอก ก่อนที่นายฮ้อยเพลิงจะกระโดดลงจากอานม้า และสั่งให้แต่ละคนทำหน้าที่ของตนได้ตามอัธยาศัย
“ที่นี่ที่ไหนเหรอ?”
ธารทิพย์เอ่ยถามเบาๆ เมื่อเดินลงจากเกวียนและช่วยรำพึงกับคะนิ้ง ลำเลียงของใช้และเตรียมอุปกรณ์เพื่อจะทำเพิงแบบง่ายๆ สำหรับนอนพักดั่งเช่นเมื่อวาน
“เห็นนายฮ้อยบอกว่าเข้าเขตเมืองแปะนะ”
เมืองแปะที่คะนิ้งว่า ก็คือจังหวัดบุรีรัมย์ในตอนนี้ ธารทิพย์ได้แต่รำพึงว่าตัวเองนั่งๆนอนๆในเกวียนมาทั้งวัน แต่เพิ่งจะเลยสุรินทร์มาถึงเขตบุรีรัมย์
“ทำไมไม่เหมือนบุรีรัมย์เลย”
เธอมองรอบด้านที่มีป่าและทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา และจุดที่พักแม้จะใกล้แม่น้ำมูลแต่ก็ยังเต็มไปด้วยหญ้ารกซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทัพควายชอบนัก
การตั้งทัพนั้นใช่ว่าอยากตั้งตรงไหนก็ได้ ต้องรับฟังทั้งจากพรานและหมอสรวง และก่อนจะพักจะต้องทำพิธีแจ้งเจ้าที่เจ้าทางและหยาดเหล้า (รดเหล้า) ลงดินขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางปู่แฮก ย่าแฮกให้ปกป้องคุ้มครองเสียก่อนให้เรียบร้อย
“ไม่เป็นไรดอก เอ็งหน้าซีดหมดแล้วทิพย์เข้าไปพักก่อนก็ได้ เพิงทำเสร็จแล้วเดี๋ยวของข้ากับคะนิ้งจะจัดเอง”
รำพึงบอกเมื่อเห็นอาการที่ไม่สู้ดีของเธอ หลังจากลงจากเกวียนแล้วธารทิพย์ก็ไปยืนอาเจียนอยู่ตรงโคนต้นไม้ คงเพราะเวียนหัวและเครียด รวมทั้งการนั่งมาในเกวียนที่โยกเยกตลอดทาง นั่นทำให้เธอเข้าไปพักในเพิงอย่างว่าง่าย
ได้ยินเสียงคะนิ้งเรียกเธอกินข้าวเย็นหลังจากนั้น แต่ธารทิพย์ส่ายหน้าปฎิเสธด้วยรู้สึกว่าท้องตัวเองเหมือนจะไม่ยากรับอาหารใดเลยสักอย่างมันผะอืดผะอมไปหมด
จนอยากจะนอนอย่างเดียวเท่านั้น
“ไม่กินอะไรเลยงั้นรึ?”
เสียงเข้มดังขึ้นอยู่ไม่ห่าง ก่อนที่ร่างหนาของนายฮ้อยเพลิงจะเดินเข้ามาด้านใน และเห็นร่างเล็กนอนคดตัวหน้าซีดอยู่ในพื้นเพิง เธอปรือตามองเขาเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงหน้าไปทางอื่น
เกลียดนัก พวกคนใจร้าย!!
“ลุกขึ้นมากินข้าวเสียหน่อย จะได้มีแรง”
ร่างหนาย่อกายลงใกล้ และเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มต่ำ
“ไม่ ฉันไม่กินไม่หิว”
เธอสะบัดเสียงสูงอย่างเอาแต่ใจ นายฮ้อยเพลิงผ่อนลมหายเล็กน้อย ก่อนจะยกมือปรามคะนิ้งกับรำพึง ที่กำลังเดินเข้ามาเป็นสัญญานบอกให้ออกไปด้านนอกก่อน
“บอกให้ลุกมากินข้าว เห็นว่ามื้อเที่ยงก็ไม่ได้กินอะไรไม่ใช่รึ? เดี๋ยวจะปวดท้องไม่สบาย”
เขาบอกอย่างใจเย็น แต่ร่างบางนั้นกลับพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เขาอย่างจงใจ
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่กิน”
ใครจะอยากกินของคนใจร้ายแบบนี้
“จะลุกมากินดีๆ หรือจะให้ข้าป้อนใส่ปาก”
**************