ตอนที่ 3
นายฮ้อยเพลิง
เพลิง!! บุรุษผู้หนึ่งที่ร้อนดั่งไฟ ...ที่หลวงพ่อบอกไว้นี่นา
“บ้านเอ็งอยู่ไหนรึ? ลุกไหวรึไม่”
เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถาม ก่อนจะยื่นมือหนามาให้เธอจับเพื่อพยุงกายลุกขึ้น ด้วยเกรงว่าเมื่อสักครู่ที่หญิงสาวปัดมือเขาออกจะสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย เป็นจังหวะที่ธารทิพย์ ได้เงยหน้าพิจารณาโครงหน้าที่ชัดๆของ นายฮ้อยเพลิง ผู้นี้
เขาเป็นชายชาตรีที่นอกจากจะมีรูปร่างสูงหนาแล้ว หน้าตายังหล่อเหลาคมคาย ด้วยรูปหน้าคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันรับกับริมผีปากหนาหยักได้รูป ดวงตาคมปลาบสีนิลเข้มและคิ้วหนาที่พาดอยู่นั้นขับให้โครงหน้าเขาดูโดดเด่นน่ามองนัก
เป้าหน้าฟ้าประทานของแท้!
หล่อชะมัด!! พ่อค้าควายนี่ต้องหล่อขนาดนี้เลย
แต่เดี๋ยวนะ ....นายฮ้อยนี่มันยุคไหนกันเนี่ย?
“มองหน้าข้าเช่นนี้ มีอะไรรึ?”
คิ้วหนาเข้มของ นายฮ้อยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อสบตากับดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มของเธอ
“วันนี้วันที่เท่าไหร่เหรอ? ฉันลืมวันลืมคืนแล้ว”
เธอเอ่ยถามเบาๆ เมื่อมองไปรอบด้านและพินิจพิจารณาเห็นความผิดปกติหลายอย่าง นายฮ้อยหรี่ตามองเธอเล็กน้อย
“วันที่สิบสามเดือนหกปีพุทธศักราชสองสี่เจ็ดเก้า”
พุทธศักราชสองสี่เจ็ดเก้า!!! ไม่นะ! ..อย่าบอกนะว่าเธอย้อนเวลากลับมาตั้งเกือบร้อยปี
“ฉะ..ฉัน อยู่ที่ไหนกัน แล้วพวกนายกำลังจะไปไหนเหรอ”
ธารทิพย์ถามเสียงสั่นระริก เอื้อมมือไปเกาะวงแขนแข็งแรงของเขาทันที เพื่อพยุงกายขึ้นแต่เหมือนว่าเธอจะอ่อนแรงเกินไป จนร่างบางเซถลาลงที่เดิม นั่นทำให้นายฮ้อยรีบปราดประคองร่างเธอขึ้นเหนือตลิ่ง จนหน้าของเธอเบียดแนบชิดกับอกกำยำแน่นเครียดของเขา
“ไหวรึไม่?”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม ธารทิพย์เพิ่งสังเกตได้ว่าแผงอกแน่นเครียดของเขานั้นเต็มไปด้วยมวลเนื้อมีรอยสักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑประทับราหูอมสุริยันห์ และเห็นสร้อยที่คอห้อยวัตถุรูปร่างแปลกประหลาดอยู่หลายอย่างคล้ายงาและเขี้ยวสัตว์
แถมยังมีปืนสะพายบ่าและเหน็บตรงเอวอีกด้วย ซึ่งธารทิพย์พอจะทราบรายละเอียดของปืนรุ่นนี้ เพราะเคยเห็นบิดาเก็บไว้ในห้องสะสมของเก่า ว่าเป็นปืนยาวนั้นคือปืนยาวบราวเบสแบบสั่นสำหรับทหารบกของจักรวรรดิอังกฤษ และปืนที่เหน็บเอวคือปืนเมาเซอร์ซีเก้าหก ออโตเมติกรุ่นเก่า คนที่จะสามารถครอบครองปืนรุ่นนี้ได้ในยุคนั้นต้องเป็นคนรวยมีอิทธิพลมากพอสมควร
นายฮ้อย คือผู้มีอิทธิพลไม่ต่างจากมาเฟียในยุคปัจจุบัน
“นายคือนายฮ้อยเหรอ แล้วกำลังจะเดินทางไปไหนกัน?”
เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองได้ย้อนเวลาเข้ามาอยู่ในยุคนี้จริงๆ และระลึกได้ถึงคำบอกของหลวงพ่อขณะอยู่ในน้ำ นั่นทำให้เธอต้องรีบปรับตัวและสืบข้อมูลรอบด้านให้มากที่สุด
นายฮ้อยเพลิง! น่าจะเป็นบุรุษแห่งไฟคนนั้น
“ข้ามาจากขุนขันธ์เมืองประทายสมันต์ กำลังจะพาทับควายไปตลาดกลางระหว่างนี้ก่อนถึงดงพญาเย็น จะมีกลุ่มชาวบ้านนำวัวควายมาให้เราเพื่อฝากเลี้ยงและขายไปด้วย ก่อนถึงตลาดกลางคาดว่าทัพของเราคงได้วัวควายเพิ่มขึ้นอีกมากโข”
เมืองประทายสมันต์คือ จังหวัดสุรินทร์ในสมัยนี้ การค้าวัวควายในสมัยนั้น นายฮ้อยเปรียบเสมือนผู้ทำกิจการธนาคารวัวควายด้วยการรับฝากเลี้ยงดูวัวควายจากชาวบ้านที่ไม่สะดวกดูแล โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นลูกของวัวควายที่รับฝาก รวมถึงการเป็นนายหน้าเจรจากินส่วนแบ่งจากการนำพาวัวควายไปซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดกลางยังที่ต่างๆอีกด้วย
ถือเป็นการทำธุรกิจในรูปแบบหนึ่ง
“ว่าแต่...”
นายฮ้อยหรี่ตาลงเล็กน้อย มองร่างบางเปียกชื้นที่แนบชิดกับกายตน ความนุ่มนิ่มนั้นทำให้เขาขบกรามไว้แน่นจนเป็นสันนูนเด่น ดวงตาคู่สีนิลเข้มทอประกายวาววับเล็กน้อยเมื่อพินิจมองปานแดงตรงต้นคอขาวเธออย่างชิดใกล้
“...เอ็งเป็นใคร และกำลังจะไปไหนรึ?”
“ฉันเป็นคนกรุงเทพ เอ่อ..บางกอกพระนคร มาฝึกงานที่นี่ ฉันอยากจะกลับบ้าน”
เธอบอกเขาตามตรง เอื้อมวงแขนขึ้นกกกอดรอบเอวเขาไว้แน่นด้วยเกรงว่าตัวเองจะยืนพยุงกายไม่ไหว ทั้งความเจ็บบริเวณหลังช่วงกลางจากการโดนกระแทกก่อนหน้านี้
“บางกอกงั้นรึ? จะให้ข้าขี่ม้าไปส่งที่สถานีรถไฟรึไม่? แต่คาดว่าคงอีกสองวันรถไฟจึงจะผ่าน แล้วเอ็งทำเช่นไรถึงมาตกน้ำมูลได้”
ขึ้นรถไฟไปบางกอกงั้นเหรอ? แล้วจะมีประโยชน์อะไรเพราะไม่ใช่ยุคสมัยปัจจุบัน ...บุรุษแห่งเพลิงต่างหากที่จะสามารถนำพาเธอกลับบ้านได้
แล้วเธอจะต้องทำเช่นไร ควรจะบอกเขายังไงดี
“คะ...คือฉันจำอะไรไม่ได้เลยจ้ะ จำไม่ได้ว่าบ้านฉันอยู่ตรงไหน อะ..โอ้ย”
เธออุทานเสียงหลงเมื่อเขาพยายามประคองเธอขึ้นให้เดินขึ้นจากตลิ่ง แต่เหมือนขาเธอจะขยับไม่ได้
“จำอะไรไม่ได้งั้นรึ?”
นายฮ้อยหลุบตาลงต่ำเล็กน้อย ก่อนจะวาดวงแขนแข็งแรงช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบตัว จนธารทิพย์ตระหนกและอุทานออกมาเสียงดัง
“อุ้ย..นะนายจะทำอะไร”
“อุ้มเอ็งไปที่พักไง รึว่าจะเดินไปเอง”
เขาเอ่ยเสียงเข้ม นั่นทำให้เธอเงียบทันที ..คนอะไรแค่พูดเบาๆก็น่ากลัวชะมัด หญิงสาวจึงปล่อยให้เขาอุ้มพาเดินจากริมน้ำ ตรงไปยังที่พักที่อยู่ไม่ไกลนัก โดยมีลูกน้องของเขายืนมองอยู่ห่างๆ บางคนต้อนฝูงวัวควายให้กินน้ำอยู่ริมตลิ่ง บางคนทำกำลังก่อฟืนไฟหุงหาอาหารอยู่อีกฝั่ง บางคนตั้งแค้มป์ที่ทำด้วยใบตองกุงหรือใบตองตึงง่ายๆ เพื่อเตรียมเป็นที่พัก
ดูจากทับควายของ นายฮ้อยแล้วน่าจะเป็นทัพขนาดกลางถึงใหญ่ ด้วยการประเมินแล้วธารทิพย์คาดว่าจำนวนวัวควายในทับน่าจะหลักหลายพันตัวและลูกน้องคนงานร่วมขบวนราวเกือบร้อยคนได้
ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างแท้จริง
“ข้อเท้าเอ็งระบม คงต้องพักเสียหน่อยเดี๋ยวใช้ยาประคบสักคืน” เขาบอกเบาๆขณะวางร่างของเธอยังพื้นไม้กระดาน เมื่อถึงที่พักที่ลูกน้องได้จัดเตรียมไว้ให้
“ขอบคุณมาก”
ธารทิพย์เอ่ยบอก ด้วยติดนิสัยการขอบคุณคนอื่นๆ จนเป็นปกติเวลาที่มีใครมาแสดงน้ำใจที่ดีให้ อย่างน้อยเขาก็ช่วยเธอขึ้นมาจากน้ำและอุ้มพามาพักยังที่อบอุ่น
“นี่ยาประคบจ้ะนายฮ้อย”
ไอ้บาก ลูกน้องคนสนิท ยกยาที่เป็นถุงผ้าขาวห่มในถ้วยร้อนที่มีควันพวยพุ่งมาให้ นายฮ้อยรับมาและนาบลงบนข้อเท้าเธอเบาๆ
“โอ้ยๆ จะ..เจ็บ มะไม่ต้องก็ได้เดี๋ยวฉันทำเอง”
หญิงสาวร้องเสียงดัง ดึงถุงผ้าขาวนั้นจากมือเขาและพินิจดูว่าน่าจะเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถลดบรรเทาอาการปวดบวมได้ ดูแล้วก็น่าจะพอแก้ขัดได้ชั่วคราว
นายฮ้อย ผละร่างถอยห่างจากเธอสักพัก ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าฝ้ายแล้วโยนให้ข้างๆตัวของเธอ
“เปลี่ยนเสื้อผ้าซะชุดนั้นเปียกชื้น เดี๋ยวจะไม่สบาย”
เธอหรี่ตามองเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเสื้อหม้อฮ่อมตัวโคร่งและกางเกงฝ้ายตัวใหญ่ที่ดูยังไงก็เป็นของผู้ชาย
“หือ นี่มันเสื้อผ้าของผู้ชายนิ”
“ใช่ นี่ตัวเล็กที่สุดแล้ว รีบเปลี่ยนซะรึว่าจะถอดเสื้อผ้าออกแล้วปล่อยล่อนจ้อนก็ตามใจ”
เอ่ยเสร็จร่างหนาก็หันหลังเดินออกไป คล้ายไม่ใส่ใจเธอเท่าใดนัก นั่นทำให้ธารทิพย์หน้าแดงก่ำขณะมองเสื้อผ้าที่อยู่ในมือของตัวเอง ...ล้อนจ่อนงั้นรึ พูดออกมาได้!!
งั้นใส่ก็ได้ ดีกว่าไม่มีอะไรจะใส่ ...เธอบอกตัวเอง