นายฮ้อยเพลิง

1447 คำ
ตอนที่ 3 นายฮ้อยเพลิง เพลิง!! บุรุษผู้หนึ่งที่ร้อนดั่งไฟ ...ที่หลวงพ่อบอกไว้นี่นา “บ้านเอ็งอยู่ไหนรึ? ลุกไหวรึไม่” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถาม ก่อนจะยื่นมือหนามาให้เธอจับเพื่อพยุงกายลุกขึ้น ด้วยเกรงว่าเมื่อสักครู่ที่หญิงสาวปัดมือเขาออกจะสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย เป็นจังหวะที่ธารทิพย์ ได้เงยหน้าพิจารณาโครงหน้าที่ชัดๆของ นายฮ้อยเพลิง ผู้นี้ เขาเป็นชายชาตรีที่นอกจากจะมีรูปร่างสูงหนาแล้ว หน้าตายังหล่อเหลาคมคาย ด้วยรูปหน้าคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันรับกับริมผีปากหนาหยักได้รูป ดวงตาคมปลาบสีนิลเข้มและคิ้วหนาที่พาดอยู่นั้นขับให้โครงหน้าเขาดูโดดเด่นน่ามองนัก เป้าหน้าฟ้าประทานของแท้! หล่อชะมัด!! พ่อค้าควายนี่ต้องหล่อขนาดนี้เลย แต่เดี๋ยวนะ ....นายฮ้อยนี่มันยุคไหนกันเนี่ย? “มองหน้าข้าเช่นนี้ มีอะไรรึ?” คิ้วหนาเข้มของ นายฮ้อยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อสบตากับดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มของเธอ “วันนี้วันที่เท่าไหร่เหรอ? ฉันลืมวันลืมคืนแล้ว” เธอเอ่ยถามเบาๆ เมื่อมองไปรอบด้านและพินิจพิจารณาเห็นความผิดปกติหลายอย่าง นายฮ้อยหรี่ตามองเธอเล็กน้อย “วันที่สิบสามเดือนหกปีพุทธศักราชสองสี่เจ็ดเก้า” พุทธศักราชสองสี่เจ็ดเก้า!!! ไม่นะ! ..อย่าบอกนะว่าเธอย้อนเวลากลับมาตั้งเกือบร้อยปี “ฉะ..ฉัน อยู่ที่ไหนกัน แล้วพวกนายกำลังจะไปไหนเหรอ” ธารทิพย์ถามเสียงสั่นระริก เอื้อมมือไปเกาะวงแขนแข็งแรงของเขาทันที เพื่อพยุงกายขึ้นแต่เหมือนว่าเธอจะอ่อนแรงเกินไป จนร่างบางเซถลาลงที่เดิม นั่นทำให้นายฮ้อยรีบปราดประคองร่างเธอขึ้นเหนือตลิ่ง จนหน้าของเธอเบียดแนบชิดกับอกกำยำแน่นเครียดของเขา “ไหวรึไม่?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ธารทิพย์เพิ่งสังเกตได้ว่าแผงอกแน่นเครียดของเขานั้นเต็มไปด้วยมวลเนื้อมีรอยสักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑประทับราหูอมสุริยันห์ และเห็นสร้อยที่คอห้อยวัตถุรูปร่างแปลกประหลาดอยู่หลายอย่างคล้ายงาและเขี้ยวสัตว์ แถมยังมีปืนสะพายบ่าและเหน็บตรงเอวอีกด้วย ซึ่งธารทิพย์พอจะทราบรายละเอียดของปืนรุ่นนี้ เพราะเคยเห็นบิดาเก็บไว้ในห้องสะสมของเก่า ว่าเป็นปืนยาวนั้นคือปืนยาวบราวเบสแบบสั่นสำหรับทหารบกของจักรวรรดิอังกฤษ และปืนที่เหน็บเอวคือปืนเมาเซอร์ซีเก้าหก ออโตเมติกรุ่นเก่า คนที่จะสามารถครอบครองปืนรุ่นนี้ได้ในยุคนั้นต้องเป็นคนรวยมีอิทธิพลมากพอสมควร นายฮ้อย คือผู้มีอิทธิพลไม่ต่างจากมาเฟียในยุคปัจจุบัน “นายคือนายฮ้อยเหรอ แล้วกำลังจะเดินทางไปไหนกัน?” เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองได้ย้อนเวลาเข้ามาอยู่ในยุคนี้จริงๆ และระลึกได้ถึงคำบอกของหลวงพ่อขณะอยู่ในน้ำ นั่นทำให้เธอต้องรีบปรับตัวและสืบข้อมูลรอบด้านให้มากที่สุด นายฮ้อยเพลิง! น่าจะเป็นบุรุษแห่งไฟคนนั้น “ข้ามาจากขุนขันธ์เมืองประทายสมันต์ กำลังจะพาทับควายไปตลาดกลางระหว่างนี้ก่อนถึงดงพญาเย็น จะมีกลุ่มชาวบ้านนำวัวควายมาให้เราเพื่อฝากเลี้ยงและขายไปด้วย ก่อนถึงตลาดกลางคาดว่าทัพของเราคงได้วัวควายเพิ่มขึ้นอีกมากโข” เมืองประทายสมันต์คือ จังหวัดสุรินทร์ในสมัยนี้ การค้าวัวควายในสมัยนั้น นายฮ้อยเปรียบเสมือนผู้ทำกิจการธนาคารวัวควายด้วยการรับฝากเลี้ยงดูวัวควายจากชาวบ้านที่ไม่สะดวกดูแล โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นลูกของวัวควายที่รับฝาก รวมถึงการเป็นนายหน้าเจรจากินส่วนแบ่งจากการนำพาวัวควายไปซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดกลางยังที่ต่างๆอีกด้วย ถือเป็นการทำธุรกิจในรูปแบบหนึ่ง “ว่าแต่...” นายฮ้อยหรี่ตาลงเล็กน้อย มองร่างบางเปียกชื้นที่แนบชิดกับกายตน ความนุ่มนิ่มนั้นทำให้เขาขบกรามไว้แน่นจนเป็นสันนูนเด่น ดวงตาคู่สีนิลเข้มทอประกายวาววับเล็กน้อยเมื่อพินิจมองปานแดงตรงต้นคอขาวเธออย่างชิดใกล้ “...เอ็งเป็นใคร และกำลังจะไปไหนรึ?” “ฉันเป็นคนกรุงเทพ เอ่อ..บางกอกพระนคร มาฝึกงานที่นี่ ฉันอยากจะกลับบ้าน” เธอบอกเขาตามตรง เอื้อมวงแขนขึ้นกกกอดรอบเอวเขาไว้แน่นด้วยเกรงว่าตัวเองจะยืนพยุงกายไม่ไหว ทั้งความเจ็บบริเวณหลังช่วงกลางจากการโดนกระแทกก่อนหน้านี้ “บางกอกงั้นรึ? จะให้ข้าขี่ม้าไปส่งที่สถานีรถไฟรึไม่? แต่คาดว่าคงอีกสองวันรถไฟจึงจะผ่าน แล้วเอ็งทำเช่นไรถึงมาตกน้ำมูลได้” ขึ้นรถไฟไปบางกอกงั้นเหรอ? แล้วจะมีประโยชน์อะไรเพราะไม่ใช่ยุคสมัยปัจจุบัน ...บุรุษแห่งเพลิงต่างหากที่จะสามารถนำพาเธอกลับบ้านได้ แล้วเธอจะต้องทำเช่นไร ควรจะบอกเขายังไงดี “คะ...คือฉันจำอะไรไม่ได้เลยจ้ะ จำไม่ได้ว่าบ้านฉันอยู่ตรงไหน อะ..โอ้ย” เธออุทานเสียงหลงเมื่อเขาพยายามประคองเธอขึ้นให้เดินขึ้นจากตลิ่ง แต่เหมือนขาเธอจะขยับไม่ได้ “จำอะไรไม่ได้งั้นรึ?” นายฮ้อยหลุบตาลงต่ำเล็กน้อย ก่อนจะวาดวงแขนแข็งแรงช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบตัว จนธารทิพย์ตระหนกและอุทานออกมาเสียงดัง “อุ้ย..นะนายจะทำอะไร” “อุ้มเอ็งไปที่พักไง รึว่าจะเดินไปเอง” เขาเอ่ยเสียงเข้ม นั่นทำให้เธอเงียบทันที ..คนอะไรแค่พูดเบาๆก็น่ากลัวชะมัด หญิงสาวจึงปล่อยให้เขาอุ้มพาเดินจากริมน้ำ ตรงไปยังที่พักที่อยู่ไม่ไกลนัก โดยมีลูกน้องของเขายืนมองอยู่ห่างๆ บางคนต้อนฝูงวัวควายให้กินน้ำอยู่ริมตลิ่ง บางคนทำกำลังก่อฟืนไฟหุงหาอาหารอยู่อีกฝั่ง บางคนตั้งแค้มป์ที่ทำด้วยใบตองกุงหรือใบตองตึงง่ายๆ เพื่อเตรียมเป็นที่พัก ดูจากทับควายของ นายฮ้อยแล้วน่าจะเป็นทัพขนาดกลางถึงใหญ่ ด้วยการประเมินแล้วธารทิพย์คาดว่าจำนวนวัวควายในทับน่าจะหลักหลายพันตัวและลูกน้องคนงานร่วมขบวนราวเกือบร้อยคนได้ ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างแท้จริง “ข้อเท้าเอ็งระบม คงต้องพักเสียหน่อยเดี๋ยวใช้ยาประคบสักคืน” เขาบอกเบาๆขณะวางร่างของเธอยังพื้นไม้กระดาน เมื่อถึงที่พักที่ลูกน้องได้จัดเตรียมไว้ให้ “ขอบคุณมาก” ธารทิพย์เอ่ยบอก ด้วยติดนิสัยการขอบคุณคนอื่นๆ จนเป็นปกติเวลาที่มีใครมาแสดงน้ำใจที่ดีให้ อย่างน้อยเขาก็ช่วยเธอขึ้นมาจากน้ำและอุ้มพามาพักยังที่อบอุ่น “นี่ยาประคบจ้ะนายฮ้อย” ไอ้บาก ลูกน้องคนสนิท ยกยาที่เป็นถุงผ้าขาวห่มในถ้วยร้อนที่มีควันพวยพุ่งมาให้ นายฮ้อยรับมาและนาบลงบนข้อเท้าเธอเบาๆ “โอ้ยๆ จะ..เจ็บ มะไม่ต้องก็ได้เดี๋ยวฉันทำเอง” หญิงสาวร้องเสียงดัง ดึงถุงผ้าขาวนั้นจากมือเขาและพินิจดูว่าน่าจะเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถลดบรรเทาอาการปวดบวมได้ ดูแล้วก็น่าจะพอแก้ขัดได้ชั่วคราว นายฮ้อย ผละร่างถอยห่างจากเธอสักพัก ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าฝ้ายแล้วโยนให้ข้างๆตัวของเธอ “เปลี่ยนเสื้อผ้าซะชุดนั้นเปียกชื้น เดี๋ยวจะไม่สบาย” เธอหรี่ตามองเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเสื้อหม้อฮ่อมตัวโคร่งและกางเกงฝ้ายตัวใหญ่ที่ดูยังไงก็เป็นของผู้ชาย “หือ นี่มันเสื้อผ้าของผู้ชายนิ” “ใช่ นี่ตัวเล็กที่สุดแล้ว รีบเปลี่ยนซะรึว่าจะถอดเสื้อผ้าออกแล้วปล่อยล่อนจ้อนก็ตามใจ” เอ่ยเสร็จร่างหนาก็หันหลังเดินออกไป คล้ายไม่ใส่ใจเธอเท่าใดนัก นั่นทำให้ธารทิพย์หน้าแดงก่ำขณะมองเสื้อผ้าที่อยู่ในมือของตัวเอง ...ล้อนจ่อนงั้นรึ พูดออกมาได้!! งั้นใส่ก็ได้ ดีกว่าไม่มีอะไรจะใส่ ...เธอบอกตัวเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม