ทัพควายของนายฮ้อย

1781 คำ
ตอนที่ 4 ทัพควายของนายฮ้อย แดนอีสาน บ้านเฮานี่ เสน่ห์มี มนต์ขลังอยู่ (ดินแดนอิสานของรา เต็มไปด้วยเสน่ห์และมนต์ขลัง) ยังมีงัว ควายบักตู้ แล่นเล่นเปียก เกียกขี้ตม (มีฝูงวัวควายที่ซุกซน วิ่งเล่นกันในปลักโคลนตม) พิณผสม เสียงกลองห่าว เทิงบ่าวสาว กะงามค่อง (มีเสียงพิณ เสียงกลองที่ครึกครื้นสนุกสนาน และหนุ่มสาวก็สวยก็งาม) เสียงแคนดัง จ้อจ้อน ยินเสียงฮ้อง ฟ้อนใส่ลำ (เสียงแคนยั่วคนฟังให้ออกมารำ ได้ยินเสียงหมอลำร้อง พอได้ยินก็พากันออกมารำ) วัฒนธรรม กะเลิศล้ำ ธรรมเนียมงาม ยังฮู้ป่อง (อิสานมีวัฒนธรรมที่เลิศล้ำ มีธรรมเนียมที่เป็นข้อปฏิบัติอย่างมีอารยะ) ประเพณี กะได้ย้อง ฮักษาไว้ ให่มีเห็น (มีประเพณีที่ทั้งโลกยกย่อง ขอให้ลูกหลานจงรักษาใว้ให้มีอยู่ต่อไป) น้ำใจงาม บ่มีเว้น เห็นยามได๋ หัวใจอุ่น (คนอิสานน้ำใจงาม มีความเป็นมิตร ใครได้พบเจอพูดคุยก็ล้วนประทับใจ) สุขในใจ บ่ได้วุ่น ยามเลาะล่อง ท่องอีสาน (มีความสุขใจ ลืมความทุกข์ใจ ในทุกๆ ครั้ง ที่ได้เดินทางไปทั่วแผ่นดินอิสาน) . . ใช้เวลาไม่นานนัก ธารทิพย์ ก็เปลี่ยนชุดเรียบร้อยและเอาชุดที่เปียกชื้นของตัวเองไปตากด้านหลังเพิงพัก โดยเธอสังเกตว่าที่พักแบบชั่วคราวของ นายฮ้อยนั้นทำขึ้นแบบง่ายๆด้วยการมีโครงไม่ไผ่ซ้อนกับใบตองกุงที่พับกันแดดกันฝนมากระทบกันและผูกด้วยเชือกเหนียวอย่างหนาแน่น ซึ่งหากจะถอดเพื่อขนย้ายก็คงจะใช้ระยะเวลาไม่นานเท่าใดนัก หญิงสาวมองไปเพิงใกล้ๆด้านนอก จะเห็นแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขมักเขม้น เธอพลางครุ่นคิดในใจว่าเหตุใดตัวเองถึงข้ามเวลามาที่นี่ได้ และคำของหลวงพ่อที่บอกไว้นั้นหมายความว่าอย่างไร นายฮ้อยเพลิงคนนี้นะเหรอที่เธอต้องติดตาม คิดแล้วธารทิพย์ก็ถอนหายใจออกมา ด้วยปะติดประต่อเรื่องราวไม่ได้ เธอเคยดูหนังหลายเรื่องที่ตัวเอกย้อนเวลาและทะลุมิติมาอีกภพหนึ่ง แต่ทุกคนล้วนมีเป้าหมายและภารกิจที่ต้องทำกันทั้งนั้น เมื่อทำเสร็จจึงค่อยตัดสินใจว่าจะกลับโลกเดิมหรืออยู่ในโลกที่ข้ามภพมาอีกที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่านิยายหรือหนังเรื่องนั้นต้องการสื่อถึงความโรแมนติก ดราม่า หรือแฟนตาซีสยองขวัญ ว่าแต่ว่า ...ภารกิจของเธอคืออะไรหว่า? “เรียบร้อยแล้วรึหิวรึไม่?” นายฮ้อยเพลิง กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมลูกน้องของเขาสองคนที่ยกสำรับอาหารหอมฉุยมาให้ ธารทิพย์ได้ยินเขาคุยกับคนทั้งสองจึงทราบว่าคนหนึ่งชื่อไอ้บาก ส่วนอีกคนชื่อไอ้เข้ม ดูลักษณะแล้วทั้งสองคนนี้น่าจะเป็นสนิทของนายฮ้อยจากคนเกือบร้อยในทัพนี้ “โห!น่ากินจัง” เธออุทานอย่างตื่นเต้นเมื่อชะโงกหน้าดูอาหารที่แสนน่ากินตรงหน้า ทั้งต้มปลาหอมๆ เนื้อแดดเดียวกับกุ้งฝอยรวนใส่ข้าวคั่วๆหอม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเหล่าผู้ชายในทัพจะทำกับข้าวได้น่ากินเช่นนี้ ความจริงธารทิพย์เคยอ่านเรื่องราวของ นายฮ้อยมาบ้าง จึงพอทราบว่าคนที่จะมาร่วมทัพควายกับนายฮ้อยนั้น ใช่ว่าจะมาร่วมได้ง่ายๆ เพราะในทัพนั้นคล้ายดั่งกองเงินทองและเสบียงชั้นเลิศที่เด็กหนุ่มส่วนใหญ่ล้วนถวิลหาและอยากเข้ามาสัมผัสยิ่งนัก เนื่องด้วยดินแดนภาคอีสานยุคนั้นยากจนข้นแค้นยิ่งนัก ยิ่งยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นยุคข้าวยากหมากแพงผู้คนอดยาก แถมทุ่งกุลาร้องให้ที่กินพื้นที่ในหลายมณฑลของภาคอีสานก็แห้งแล้งต่อเนื่องหลายปีนั่นทำให้ผลิตผลทางการเกษตรน้อยลง การเข้ามาอยู่ในกองคาราวานทัพควายของนายฮ้อยกลุ่มใหญ่นั้น คือการอิ่มหนำสำราญมีอาหารดีๆกินทุกวัน และได้เดินทางท่องเที่ยวตามทัพไปยังที่ต่างๆ และมีเงินทองจากการค้าขายคล่องมือนั่นจึงเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มทุกคนใฝ่ฝันอยากเข้ามา แต่คนที่จะมาอยู่ในทัพควายนั้นต้องการผ่านการคัดสรรโดย นายฮ้อย ผู้เป็นหัวหน้าทัพอย่างเคร่งครัด ว่ากันว่าคนที่จะเป็นนายฮ้อยประจำทัพควายใหญ่นั้นๆ ต้องมีความเก่งกาจหลากหลายทั้งด้านการต่อสู้ วิชาอาคม การบริหารคน รวมถึงการรอบรู้ทั้งการรักษาสัตว์และการรู้ภาษากลางรวมทั้งภาษาอื่นๆด้วย และคนที่จะมาร่วมทัพด้วยนั้นก็ต้องเชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน เนื่องจากต้องดูแลวัวควายไปต่างพื้นที่ไกล นอนอ้างร้างข้างแรม ทุกคนต้องมีทักษะที่สำคัญ ด้านการเอาตัวรอด มีสายตาที่แหลมคม และต้องทำกับข้าวได้ ทัพควายส่วนใหญ่นั้นจะไม่ให้ผู้หญิงร่วมขบวนด้วย เพราะจะเกิดความยุ่งยากหลายอย่างเนื่องจากในขบวนมีแต่ผู้ชาย ข้อนี้ธารทิพย์ทราบดีเธอจึงครุ่นคิดอย่างวิตกว่าตัวเองกำลังจะถูกลอยแพแน่นอนภายในเช้าวันพรุ่งนี้ “เหมือนเอ็งจะหิวมาก กินให้อิ่มซะจะได้นอนพัก ข้าให้คนไปถามที่สถานีรถไฟแล้ว พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะมีขบวนไปยังบางกอกอย่างไงข้าจะให้ลูกน้องพาไปส่ง” นั่นไง!! เขาจะปล่อยเธอให้ไปเผชิญชะตากรรมเองแล้ว ทำไงดีละทีนี้ ชีวิตธารทิพย์ต้องมาติดอยู่ในกระแสห้วงเวลาที่ต่างกันเกือบร้อยปี ต่อให้กลับไปบางกอกก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อันใด พ่อกับแม่ของเธอยังไม่น่าจะลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ “ฉะ..ฉันไม่อยากไปรถไฟจ้ะ ฉันกลัวเสียงฉึกฉักของมัน” เธอรีบบอกอย่างร้อนรน เมื่อร่างหนาของ นายฮ้อยนั่งย่อกายลงตรงหน้า เพื่อจัดการสำรับอีกชุดของเขา นั่นทำให้คิ้วหนาเข้มของนายฮ้อยขมวดขึ้นเล็กน้อย “รถไฟปลอดภัยที่สุด ถ้าเรื่องตั๋วเอ็งไม่ต้องห่วงดอกข้าจะจัดการให้ รับรองเอ็งถึงพระนครบ้านเอ็งแน่นอน” ถึงที่ไหนกันเล่า!! ต่อให้ซื้อตั๋วเป็นร้อยใบก็เถอะ “รู้ได้อย่างไรว่าปลอดภัย ฉันเคยทราบมาว่ารถไฟเส้นโคราชเลยดงพญาเย็นนั้น มักจะมีชุมเสือดักปล้นอยู่บ่อยๆ ยิ่งผู้หญิงเดินทางคนเดียวอันตรายมาก หากมันขึ้นปล้นขบวนอาจต้องเสียทั้งเงินและทั้งชีวิตด้วย ฉันไม่อยากไปเลยจ้ะ” เสียงของเธอออดอ้อนขึ้น เอาน่า!! ไม่ว่าจะอย่างไรเธอจะต้องติดตามนายฮ้อยเพลิงคนนี้ให้ได้ อย่างน้อยสักช่วงเวลาหนึ่งเผื่อหลวงพ่อรูปนั้นจะปรากฎตัวและใขปริศนาอันใดเพิ่มอีก “เอ็งกลัวชุมเสือ แล้วเอ็งไม่กลัวคาราวานทัพควายของพวกข้าดอกรึ?” หน้าหล่อเข้มเงยขึ้นมาถาม ด้วยทัพควายของนายฮ้อยนั้นเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ ที่ว่ากันว่าแม้ชุมเสือขนาดใหญ่ยังมิกล้าต่อกร หญิงสาวชะงักเล็กน้อย ด้วยเธอรู้ในข้อนี้ดี “ฉันรู้สึกว่าพวกพี่ดูน่าไว้ใจ ยังไงให้ฉันติดขบวนทัพของนายฮ้อยไปด้วยเถอะนะจ้ะๆ เมื่อถึงตลาดกลางที่สระบุรีแล้วฉันจะหาทางกลับพระนครเอง เพราะหากเลยดงพญาเย็นไปแล้วน่าจะไม่มีสิ่งใดต้องกังวล” พูดได้ดีมากธารทิพย์!! เธอบอกตัวเองในใจ นายฮ้อยผ่อนลมหายใจเล็กน้อย เมื่อพินิจมองหน้าเนียนใสตรงหน้าที่จ้องมองเขาด้วยสายตาเว้าวอน “อีกไกลหลายวันกว่าจะถึงจุดหมาย เพราะขบวนข้าใหญ่และต้องรับฝากเป็นธนาคารควายระหว่างทางแต่ละมณฑลด้วย เอ็งต้องรอนแรมเป็นเดือน ...อีกอย่างทัพของข้ามีกฎสำคัญห้ามให้ผู้หญิงร่วมขบวนด้วยเด็ดขาดหากไม่จำเป็น” “ตอนนี้ก็จำเป็นแล้วไงจ้ะ ..ฉันเป็นคนสำคัญ” คิ้วหนาย่นเข้าหากันอีกครั้ง ด้วยไม่คาดว่าจะเจอสตรีที่ก๋ากั่นเช่นนี้มาก่อน ดวงตาคู่สีนิลเข้มจึงวาววับขึ้น “สำคัญยังไงรึ? ทำไมเอ็งถึงคิดเช่นนั้น!!” “ฉันกำลังเรียนสัตวแพทย์ และรู้การรักษาสัตว์ต่างๆ ทั้งวัวควายช้างม้าของนายฮ้อย หากเจ็บป่วยขึ้นมาฉันดูแลให้ได้ เท่าที่ดูขบวนทัพควายนี้ใหญ่พอควรและมีสัตว์หลายอย่างนายฮ้อยจะต้องมีคนช่วยดูแลนะจ้ะ” ชั่งเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ ฮ่าๆๆ เธอเรียนสัตวแพทย์มา อย่างไรก็ต้องเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว แล้วแบบนี้จะไม่เป็นคนสำคัญได้ยังไง “เรื่องนั้น...ไม่ต้องกังวลดอกทัพควายของข้ามีทีมหมอทั้งแผนปัจจุบันและหมอฝรั่งร่วมทัพอยู่แล้ว อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่รักษาได้ข้ามีคนของข้าอยู่แล้ว แต่หากหนักหนาเกินไปเราก็แค่ฆ่าสัตว์ทิ้งแจกจ่ายกันกินก็แค่นั้น” วะว่าไงนะ!! มีทีมหมออยู่แล้ว นี่เธอจะไม่มีประโยชน์ต่อทัพควายอันยิ่งใหญ่นี้เลยรึเนี่ย? “ถ้างั้นให้ฉันเป็นลูกมือก็ได้นะพี่เพลิง ให้ฉันร่วมทัพไปด้วยเถอะนะ นี่ฉันเพิ่งถูกทำร้ายจนตกน้ำมาจนจิตตกไปหมดแล้ว หากต้องเดินทางกลับพระนครคนเดียวฉันต้องแย่แน่ๆเลย” เสียงเธอออดอ้อนยิ่งกว่าเดิม ขณะขยับกายไปใกล้ร่างหนาและเอื้อมมือแตะต้นแขนเขาเบาๆอย่างอ้อนวอน ถึงอย่างไรเธอก็ขอเชื่อหลวงพ่อไว้ก่อน เพราะนั่นคือสัมผัสแรกที่เธอฟื้นขึ้นมาในยุคนี้ และสัญชาตญานเธอบอกว่าเป็นเช่นนั้น “อืม” นายฮ้อยเพลิง หลุบตาลงต่ำขณะมองมือขาวนิ่มที่สัมผัสกับต้นแขนของตน ก่อนจะเหลือบมองหน้าสวยผุดผาดตรงหน้าและชำเลืองมองปานแดงที่ต้นคอระหงนั้นอย่างครุ่นคิด “นะจ้ะนายฮ้อยๆ” เธอออดอ้อนต่อเมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของเขา แม้จะรู้ว่าทัพควายมีกฎห้ามให้ผู้หญิงร่วมขบวนด้วย แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้นขึ้นอยู่กับผู้คุมกฎเท่านั้น พลัน!! เสียงหวานใสของผู้หญิงดังขึ้น “นายฮ้อยจ้ะ ฉันยกชาใบหม่อนมาให้จ้ะ” ร่างระหงอ้อนแอ้นเดินเข้ามาในเพิงพร้อมกาต้มชาร้อน นั่นทำให้คิ้วเรียวสวยของธารทิพย์ย่นเข้าหากันอย่างฉงน ....ไหนบอกทัพควาย ห้ามผู้หญิงร่วมขบวน!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม