ตอนที่ 13
นายฮ้อยสายขาว
“ไม่ต้องดอกข้าตากเอง”
เธอรีบปราดไปยืนชิดกับ เหลืองเมื่อเห็นหนุ่มคนครัวกำลังจะหยิบเสื้อผ้าที่เปียกของเธอขึ้นตากในราวที่ขึงไว้ข้างเพิง นั่นทำให้ธารทิพย์ห้ามเขาอย่างรวดเร็ว
“อ้อครับ ข่อยวางซุปไว้แล้วถ้าบ่อิ่มก็บอกละกัน”
หนุ่มครัวบอกเบาๆ เมื่อร่างบางที่เบียดใกล้ๆ แต่ก็ต้องชะงักไว้เพียงนั้น เมื่อหันไปสบตากับหน้าหล่อคมเข้มของ นายฮ้อยเพลิง ที่ยืนมองตนอยู่ไม่ห่างนัก จึงรีบผละร่างออกห่างและเดินออกไปจากเพิงแทบจะทันที
ธารทิพย์คล้ายจะสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ซ่านมา จึงก้มหน้าก้มตาหยิบผ้าที่เปียกชื้นขึ้นมาบิดให้หมาดแล้วผึ่งตากยังราวที่เป็นเชือกขึงแบบง่ายๆอยู่กับต้นไม้สองต้นข้างเพิงพัก
“หายปวดท้องแล้วรึ?”
เสียงถามนุ่มทุ้มต่ำเอ่ยอยู่ด้านหลัง และธารทิพย์ก็สะดุ้งเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าเหตุใดเขาถึงปราดเข้ามาประชิดตัวเธอได้เร็วเช่นนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน
“ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณนายฮ้อยมาก”
แม้จะยังขุ่นเคืองอยู่เพียงใด แต่ธารทิพย์ก็จำต้องตอบเขาไปเช่นนั้น อย่างไรเสียเขาก็มีส่วนทำให้เธอหายท้องใส้ปั่นป่วนและกินข้าวได้จนหายเจ็บปวด
ร่างหนาสาวเท้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม
“นึกว่ายังไม่หาย ข้าจะได้ป้อนยาอีก”
เขากระซิบเสียงแหบพร่าข้างใบหูเล็ก และนั่นก็ทำให้ขนอ่อนในกายของเธอเริ่มลุกชูชัน จนถอยหลังกรูดไปจนติดราวผ้าที่ตากไว้ ด้วยเกรงว่าคะนิ้งกับรำพึงที่อยู่ด้านในจะเดินออกมาเห็น
“นายฮ้อย”
“หือ”
“ฉันไม่ชอบที่นายฮ้อยทำแบบนั้นกับควายพวกนั้น ไม่สงสารพวกมันเลยรึ มันมองนายฮ้อยด้วยแววตาละห้อยที่เต็มไปด้วยน้ำตา ใยถึงฆ่ามันลง”
เธอเอ่ยถามกึ่งตำหนิเขา อย่างที่ใจอยากจะพูด
คิ้วหนาของ นายฮ้อยเพิงยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อรู้สาเหตุที่เธอไม่พอใจเขามาเนิ่นนานตั้งแต่เมื่อเช้า
“ก็เพราะมันมองข้าด้วยความทรมานไง ข้าถึงต้องทำเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตไม่เว้นแต่มนุษย์หากไม่มีเครื่องในตับใตใส้พุงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร สู้ดับสูญไปโดยย่นเวลาทรมานให้น้อยที่สุดมิดีกว่ารึ?”
“นายฮ้อยรู้ได้อย่างไร? ว่าพวกมันไม่มีเครื่องใน”
เธอถามกลับอย่างฉงน แม้จะร่ำเรียนสัตวแพทย์มาแต่การจะเช็คดูอวัยวะภายในเช่นนี้ ต้องอาศัยระยะเวลาพอควร เหตุใดนายฮ้อยถึงวินัยฉัยได้ภายในเวลากระชั้นชิดเช่นนั้น
“เอาเป็นข้ารู้ และพวกมันก็ปราถนาให้เป็นเช่นนั้น หากเอ็งจะงอนข้าเพราะเรื่องนี้ ก็ขอจงเข้าใจไว้ด้วย เพราะอาจจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ไม่เช่นนั้นคนงานกว่าร้อยชีวิตจะกินอะไร พวกเราขนมาเพียงข้าวสารอาหารแห้ง แต่อาหารที่กินในละมื้อนั้นเราต้องฆ่าสัตว์ตัวที่อ่อนแอที่สุด”
วิถีชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่รอด
“เช่นนั้นทำไมนายฮ้อยใช้มีดละ ทำไมไม่ใช้ปืนมันจะได้ไม่ทรมานมาก”
หญิงสาวเปรยตามมองปืนเมาเซอร์ที่เหน็บไว้ตรงเอวของเขา แม้จะเข้าใจทัพควายว่าอย่างไรเสียก็ต้องฆ่าเพื่อความอยู่รอด แต่ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องให้มีดพร้ายาวแทงมันเช่นนั้น
เคยดูในหนังแค่ยิงปืนนัดเดียว ก็ตายแล้ว
แถมศพก็สวยด้วยไม่ต้องใช้มีดหรือของมีคมให้เลือดพุ่งน่าสยดสยองเช่นนี้
มุมปากของนายฮ้อยยกยิ้มเล็กน้อย
“เอ็งคิดว่ากระสุนแต่ละนัดใช้เงินเท่าใด ยิ่งตอนนี้พวกทหารฝรั่งกับญี่ปุ่นมันเอามาขายให้พวกข้าแสนแพงนัก ต้องใช้ควายหลายตัวแลกเลยทีเดียว พวกชุมเสือโจรบางทีมันปล้นปืนหรืออาวุธได้ ยังไงเสียก็ต้องง้อไอ้พวกนั้นเรื่องกระสุนและดินปืนอยู่ดี ข้าไว้ใช้ป้องกันในเวลาที่จำเป็นเท่านั้นและนี่ส่วนใหญ่เป็นกระสุนอาคม”
ธารทิพย์ตาเบิกโพลงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น จนต้องขยับร่างไปชิดใกล้กับเขา และลูบยังด้ามปืนเมาเซอร์ซีเก้าหกที่โผล่พ้นตรงเอวที่มีผ้าขาวม้ามัดไว้แน่นนั้นอย่างตื่นเต้น ด้วยพอทราบว่าปืนรุ่นนี้ผลิตที่เยอรมันและนำเข้ามาในสยามประเทศโดยทหารฝรังเศสและญี่ปุ่น บางส่วนนำมาขายให้คนไทยที่มีอิทธิพลในยุคนั้นด้วยราคาแพงลิ่ว
“เมาเซอร์ซีเก้าหกนี้ นายฮ้อยซื้อมาเท่าไหร่รึ?”
เธอเอ่ยถามอย่าตื่นเต้น
นายฮ้อยหลุบตาต่ำ มองมองขาวที่ลูบบริเวณด้ามปืนของตัวเองอย่างระมัดระวัง แล้วก็ต้องขบสันกรามของตัวเองแน่น คล้ายต้องการสะกดกั้นอารมณ์บางอย่าง
แค่ลูบด้ามปืน...เขาก็ปวดหนึบไปทั้งลำแล้ว
“ทหารฝรั่งเศสมาขายให้ข้าเมื่อต้นปีพร้อมกระสุนและดินปืนสำหรับปืนลูกโม่แลกกับควายสามสิบตัว”
ควายสามสิบตัวเลยรึ? ...แพงขนาดนั้นเชียว
“แพงมาก”
“ใช่ แต่ข้ามีอยู่อีกรุ่นหนึ่งที่ทหารญี่ปุ่นมาเสนอแลกควายแค่ยี่สิบสองตัวเท่านั้นเข้าเลยซื้อเก็บไว้สองอัน”
ต่างกันครึ่งต่อครึ่ง จะว่าไปแล้วคนญี่ปุ่นทำการค้าและเจรจาเก่งและเน้นการเข้าถึงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และวัวควายที่แลกไปก็เอาไปขายต่อด้วยการอัพราคาเพิ่มอีกสามเท่าตัว
มันคือการทำธุรกิจและการค้า
“แต่ถ้าเรารู้วิธีทำดินปืนก็จะลดต้นทุนตรงนี้ใช่หรือไม่?” ธารทิพย์เอ่ยถาม เมื่อตระหนักได้ว่าในยุคนั้น ยังไม่มีการคิดค้นการทำเขม่าดินปืน และยังคงต้องพึ่งพาทหารพวกนี้ที่มาอยู่ในไทยอีก
“ใช่ แต่คงไม่ง่ายข้ากำลังศึกษาอยู่ว่าทำเช่นไร”
“ข้าจะช่วยท่าน”
ดวงตาคมกริบหรี่ตามองเธออีกครั้ง
“ความจริงข้าไม่ค่อยได้ใช้มันดอก นอกจากเวลาปะทะกับนายฮ้อยนายสายดำและพวกชุมเสือเท่านั้น”
“นายฮ้อยสายดำคือพวกไหนรึ?”
ความรู้ใหม่สำหรับเธอเลย หลังจากเคยดูหนังเรื่องเกี่ยวกับนายฮ้อยมา เพิ่งรู้ว่านายฮ้อยก็มีสายดำและสายขาว
นายฮ้อยเพลิงผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
“นายฮ้อยอย่างพวกข้ามิใช่เพียงขนย้ายวัวควายเท่านั้น แต่พวกเรายังรับขนย้ายสิ่งของไปยังเมืองต่างๆ ให้ถึงจุดหมายเพื่อความปลอดภัย”
ไม่ต่างกับแมสเซนเจอร์หรือบุรุษไปรษณีย์เลยนี่นา
“แต่มันจะมีนายฮ้อยสายดำที่แฝงตัวเอาทัพควายบังหน้า แล้วลักลอบขนฝ**นหรืออาวุธเถื่อนให้พวกทหารฝรั่ง และที่ร้ายกว่านั้นพวกที่มันขนเศียรพระวัตถุโบราณของประเทศเราไปยังท่าเรือให้พวกฝรั่ง พวกนี้มันเนรคุณชาติ”
พระเจ้าช่วย!!! มีนายฮ้อยแบบนี้ด้วยรึ
“พวกมันทำเพราะได้เงินดีกว่าค้าควายหลายเท่า และไม่ต้องมาเหนื่อยดูแล ให้รัฐตรวจตั๋วเกวียนและควายด้วย แต่หากตรวจจริงมันก็ยัดเงินมหาศาลให้เจ้าหน้าที่รัฐเสีย”
การคอร์รับชั่นนี่คงมีมาเนิ่นนานแล้วกระมัง ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัยก็ยังมีคนโลภที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ชั่งแสนน่ารังเกียจนัก...
“แล้วท่านปะทะพวกนั้นบ่อยมั้ย?”
เธออดที่จะเอ่ยถามเขาไม่ได้
“ก็หากเส้นทางบรรจบกัน ก็จำเป็นต้องปะทะและหากเข้ารู้ว่าพวกมันขนของไม่ดีพวกนั้น ข้าเองก็อดใจไม่ไหวจริงๆ”
สันกรามของนายฮ้อยเพลิงขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูนเด่น แค่ตอนนี้สยามประเทศโดนรุกรานโดยทหารอังกฤษและฝรั่งเศสที่อ้างว่าเข้ามาเป็นพันธมิตรกับไทยและเจรจาแบ่งแยกดินแดนบางส่วนก็เจ็บปวดพอควรแล้ว คนไทยด้วยกันเองยังจะขนสมบัติของชาติออกไปขายอีก
“ทัพควายของนายฮ้อยต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เลยรึ?”
เธอเอ่ยเสียงอ่อนลงต่างจากคราวแรก นั่นทำให้หน้าหล่อเข้ม โน้มต่ำลงมาใกล้
และกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ทำเสียงเช่นนี้ ...เอ็งห่วงข้าอย่างนั้นรึ?”
****************