ตอนที่ 20
ภารกิจของนายฮ้อย
“เอาน้ำสักหน่อยมั้ยทิพย์?”
กะบอกน้ำไม้ไผ่ถูกยื่นให้ตรงหน้า ขณะที่ธารทิพย์นั่งอยู่บนเกวียนและทัพควายกำลังเคลื่อนขบวนคาดว่าในค่ำนี้คงจะเดินทางพ้นเขตเมืองแปร่งหรือบุรีรัมย์เข้าสู่เขตโคราชได้ เพราะทางเกวียนต่อจากนี้ค่อนข้างเรียบง่ายต่อการสัญจรเป็นยิ่งนัก
“ขอบใจมากรำพึง”
เธอเอ่ยบอกเมื่อรับกระบอกน้ำมาจรดปากดื่ม
“วันนี้ไม่ค่อยเวียนหัวแล้วนิ เอ็งน่าจะเริ่มชินกับการนั่งเกวียนแล้ว”
“น่าจะใช่ ความจริงถ้ายังไม่หายเวียนหัวฉันว่าจะขอลงไปขี่ควายเหมือนพวกพี่บากกับพี่เข้ม ก็น่าจะดีเหมือนกันนะ”
หญิงสาวบอกเมื่อมองลอดเกวียนออกไป เห็นกลุ่มคนงานบางคนก็เดินเท้า บางคนขึ่ควาย เกวียนส่วนใหญ่จะไว้บรรทุกของพวกเสื้อผ้าเครื่องนอน ข้าวสารอาหารแห้งและของกินของใช้เป็นส่วนใหญ่
คนที่นั่งเกวียนก็มีเพียงเธอกับคะนิ้งและรำพึงที่เป็นผู้หญิงในขบวนเท่านั้น เพราะแม้แต่นายฮ้อยเองยังขี่ม้าคู่ใจ เคียงข้างกับทัพผ่าเปลวแดดร้อนระอุโดยไม่อิดออด
ดีที่ว่าตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว ถ้าหากต้องมาเคลื่อนขบวนในช่วงฤดูร้อน สงสัยเธอจะต้องสุกภายในเกวียนแน่นอน เพราะแอร์หรือพัดลมสักตัวยังไม่มีเลย
“ฮ่าๆ ขนาดนั้นเลยรึทิพย์ ความจริงพวกข้าก็ไม่ค่อยได้นั่งเกวียนบ่อยเท่าใดดอก หากว่า...”
คะนิ้งเอ่ยสมทบ แต่จำต้องชะงักคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อหันไปสบตากับ รำพึงผู้เป็นพี่สาว และธารทิพย์ก็สังเกตกริยานั้นได้ แววตาของเธอครุ่นคิดเล็กน้อย
“เวลาตื่นเอ็งเพลียรึไม่รำพึง”
เธอเอ่ยถามเบา ด้วยถ้อยคำที่เหมือนคนในยุคสมัยนั้น
“ไม่นี่นา ข้าหลับสบายทุกคืนจะเพลียด้วยเหตุใดกัน”
“หลับสบายแน่รึ? เห็นเอ็งนอนละเมอแทบทุกคืนคล้ายมีใครมาบังคับอะไรสักอย่างจนต้องร้องออกมา ให้ฉันสะดุ้งตกใจตื่นกลางดึกแทบทุกครั้งมาหลายคืนละ มีอะไรในใจรึเหตุใดต้องฝันร้ายขนาดนั้น”
ทั้งสองตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำนั้น
“หลายคืนแล้วยังงั้นรึ? ข้าละเมอว่ายังไง?”
“อืม!”
ธารทิพย์หรี่ตาลงเล็กน้อย และชำเลืองมองท่าทีของทั้งคู่ก่อนจะอมยิ้มออกมา “ก็เช่นว่า อย่าบังคับข้านะ!”
“ตายจริง! สงสัยข้าจะฝันไปเรื่อย”
ทั้งสองหยุดการสนทนาไว้เพียงนั้น และรำพึงก็แสร้งหาวหวอดๆก่อนจะเอนกายลงนอนยังเกวียนที่เคลื่อนขบวนอย่างโยกเยก บนถนนพื้นดินที่เต็มไปด้วยฝุ่นตลบอบอวล
“มอๆๆ”
เสียงร้องของ โคและควายจ่าฝูงยังคงดังเป็นระยะ
มันยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
.
กึก!!! มอๆๆ
เพลี๊ยๆ
เสียงแส้กระทบควายดังลั่นตั้งแต่ต้นขบวน นั่นทำให้ ธารทิพย์ จำต้องชะโงกหน้าออกไปมอง ด้วยคาดว่าอาจจะใกล้ถึงจุดหมายในวันนี้แล้ว พวกตนจะได้ลงจากเกวียนไปอาบน้ำอาบท่าและตั้งเพิงดั่งเช่นทุกวันเสียที
แม้การนั่งบนเกวียนจะไม่เหนื่อยเท่าเดินเท้ากับขึ่ควายแต่การนั่งทั้งวันก็ทำให้ล้าได้เช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
เธออุทานอย่างแปลกใจเมื่อเห็น คาราวานอีกทัพที่เคลื่อนสวนมา แม้จะดูแล้วปริมาณควายในทัพจะไม่ใหญ่เท่าทัพของนายฮ้อยเพลิง ทว่าก็ดูเหมือนจะมีคนงานที่มาในด้วยในจำนวนที่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
“น่าจะชนกับทัพควายอีกคาราวาน คงต้องเจรจา”
คะนิ้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก คล้ายว่าเจอเหตุการณ์นี้จนชาชิน “เอ็งอย่าชะโงกตัวออกไปนะทิพย์ มองแค่ผ่านช่องก็พอ ถ้ามีทัพอื่นรู้ว่า ในทัพเรามีผู้หญิงมาด้วยจะมีปัญหา”
คำบอกนั้นทำให้ธารทิพย์จำต้องหลบหน้าเข้ามาด้านใน แต่ก็ยังคงมองไปด้านนอกอย่างสงสัย เมื่อเห็นนายฮ้อยเพลิงกับพรานสิงห์ และควานทอก ควบม้าเข้าไปใกล้ยังคาราวานนั้น
รึว่าจะมีเหตุปะทะกัน!! แบบที่เธอเคยดูในหนังมา
.
.
แสงแดดยามบ่ายคล้อยส่องกระทบกับร่างกำยำของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนอานม้า สายตาคมกริบนั้นจับจ้องมายังทัพควายใหญ่ตรงหน้าและประมุขของทัพที่ควบม้ามาใกล้จนฝุ่นตลบ ก่อนที่มุมปากของบุรุษผู้นั้นจะยกยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ว่าไงสหายเพลิง รอนแรมทัพมาหลายเที่ยวไม่คิดว่ากลับจากตลาดกลางครานี้ จักได้พบกับนายฮ้อยที่เลื่องชื่อของอีสานใต้ กูชั่งโชคดีเสียนี่กระไร?”
คำทักของบุรุษผู้นั้นที่ดูลักษณะคล้ายสนิทชิดเชื้อยิ่ง ทำให้หน้าหล่อเข้มของ นายฮ้อยเพลิง ยิ้มออกมาอย่างลิงโลดเมื่อเห็นนายฮ้อยดาม เพื่อนสนิทของตนที่ร่ำเรียนวิชาอาคมและค้าวัวควายมาด้วยกันจากสำนักศรีขรเมืองประทายสมันต์
“เหมือนทัพกูจะโชคดีมากกว่า เพราะอย่างไรเสียก็ได้ปะทะกับทัพที่เพิ่งกลับจากค้าขายมา เงินทองน่าจะเต็มมือเป็นแน่แท้ เช่นนี้หากต้องดวลโบกกันเสียหน่อยจนถึงฟ้าสางเลยเป็นอย่างไร”
(โบก คือการพนันชนิดหนึ่งคล้ายการทอยลูกเต๋า แต่เป็นการทอยเม็ดบักแต้แห้งผ่ากลางแทนในกะลามะพร้าวที่ขัดจนเงาวับจ :เม็ดบักแต้คือมะค่าแต้)
คำบอกของนายฮ้อยเพลิงนั้นทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว้าง มือหนายกขึ้นจรดหมวกสานเป็นการตอบรับและให้เกรียติอีกฝ่าย
“มิใช่ปัญหาดอก แม้ทางกลับจะโดนชุมเสือใหญ่ดงพญาเย็นเก็บส่วยไปมากโข แต่ก็ถือว่าได้กำรี้กำไรอยู่พอควร ดีอย่างโชคดีที่ครานี้ไม่เจอทัพควายสายดำของนายฮ้อยบิ่น ไม่งั้นงวดนี้ทัพคงขาดทุน”
นายฮ้อยบิ่นที่ว่า เป็นนายฮ้อยสายดำที่ในวงการรู้จักดี
ว่ากันว่าตอนนี้มันเฮิมเกริมนัก ทั้งผนึกกำลังกับชุมเสือที่ไร้คุณธรรมไปปล้นวัวควายของชาวบ้านแล้วนำมาขายในราคาสูงลิบลิ่ว ทุกครั้งที่ทัพควายนายฮ้อยบิ่นผ่านชุมชนทุกคนล้วนหวาดกลัว จนต้องเอาวัวควายตนไปซ่อนแต่เหมือนจะไม่เป็นผลแต่อย่างใด
ยิ่งกว่านั้นยังลือกันว่า ทัพควายของนายฮ้อยบิ่นนั้นรับงานสกปรกทั้งการขนอาวุธเถื่อนและอาวุธโบราณล้ำค่าของสยามประเทศไปส่งที่ท่าเรือด้วยการใช้ทัพควายบังหน้าอีกด้วย
นั่นเป็นพฤติกรรมที่นายฮ้อยเพลิงเดียดฉันท์นัก
“อย่าให้กูเจอได้มันเชียว!”
มือหนาที่กำแส้บีบเกร็งแน่นจนเห็นเส้นเลือดโปดปูน ก่อนจะกระโจนลงจากหลังม้า แล้วหันไปส่งสัญญานบอกพรานสิงห์และควานทอกเชิงว่าปลอดภัย และให้ดำเนินการแจ้งคนอื่นให้ทัพเพื่อตั้งทัพในคืนนี้ต่อไป
การเจอทัพควายของเพื่อนสนิทนั้นถือเป็นความโชคดี
เพราะคือการแลกเปลี่ยนและสันทนาการหลายอย่างหลังจากที่รอนแรมมาหลายวัน รวมทั้งหากมีการเจอกันของสองทัพใหญ่แล้ว หมายถึงการไหลเวียนของเงินที่สะพัดระหว่างทัพเอง รวมถึงชุมชนใกล้เคียงอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน การเล่นการพนันเพื่อผ่อนคลายและหารายได้ รวมถึงการตั้งร้านรวงของชาวบ้านใกล้เคียงเพื่อขายของให้กลุ่มคนรวยกระเป๋าหนักอย่างคนงานของทัพควาย และมีแม้กระทั่ง ผู้หญิงในละแวกชุมชนมาขายบริการในราคาที่สูงลิ่ว ให้กับคนงานในทัพได้ปลดปล่อยความใคร่
การพักทัพของสองทัพใหญ่พร้อมกันจึงเกิดการสะพัดมหาศาลทั้งข้าวของเงินทองและวัวควายที่ชาวบ้านจะมาฝากอีกด้วย
“เช่นนั้นวันนี้เราพักที่นี่ตรงข้ามกับทัพของนายฮ้อยดาม จัดการหยาดเหล้าบอกเจ้าที่เจ้าทางตาแฮกเสีย”
พรานสิงห์ตะโกนบอกทุกคน ก่อนจะปลีกตัวเพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ นายฮ้อยเพลิงยื่นม้าให้กับควานทอกก่อนจะหันหน้ามามองเพื่อนสนิทที่ยืนขมวดคิ้วคล้ายมีคำถามในใจ
“มีอะไรสงสัยดอกรึ?”
คิ้วหนาของนายฮ้อยเพลิงเลิกขึ้นเล็กน้อย
“อยู่ในทัพใช่มั้ย?”
“อืม”
ดวงตาคมกริบของทั้งคู่หันไปมองเกวียนที่อยู่ตรงกลางขบวน และคล้ายจะมีหน้าสวยผุดผาดของใครคนหนึ่งชะโงกออกมามองอย่างใคร่รู้
มุมปากของนายฮ้อยเพลิงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ปลอดภัยดีรึไม่?” นายฮ้อยดาม เขยิบกายเข้ามาใกล้และหันไปมองยังเกวียนคันนั้นเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ
“รำพึงเจ้าหญิงเมืองลานช้างของข้า”
***************