หย่งเทียนไปตรวจกิจการที่ร้านค้า
ร้านของเขาเป็นร้านขายผ้าขนาดเล็ก ทำกำไรไม่มากนัก ยิ่งพักหลังยิ่งขาดทุน หย่งเทียนบริหารงานได้แบบงู ๆ ปลา ๆ ส่วนใหญ่เอาแต่ขลุกอยู่กับภรรยาสาว อีกทั้งยังชอบไปหอสุราเพื่อสังสรรค์กับสหาย เขาไม่ค่อยโผล่มาที่ร้าน ส่วนใหญ่มีหลงจู๊คนสนิทช่วยทำงานรวมถึงการทำบัญชี
เป้ยฉีมีร้านขายถุงหอม นางมีกิจการของนางเองซึ่งทำกำไรได้ไม่มากเช่นกัน จะว่านางเกียจคร้านก็ไม่เชิง แต่นางไม่ค่อยสนใจสิ่งใดยกเว้นเรื่องกามกิจ สิ่งที่นางจดจ่อคงมีแต่เพียงเรื่องบนเตียงเท่านั้น
สามีภรรยามีความสุขกันไปตามอัตภาพ เรื่องหากินใส่ปากท้องคืองานรอง ส่วนใหญ่คือเรื่องในหมอนมุ้งเสียมากกว่า เงินทองหามาได้พอใช้จ่ายไปเดือนชนเดือนเท่านั้น นอกจากเรื่องกามกิจกับเรื่องรื่นเริง สองสามีภรรยาก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นนัก
หย่งเทียนควบม้าขนาดกลางมายังร้านค้า เห็นบ่าวชายคนหนึ่งรีบวิ่งหน้าตื่นมาหาตั้งแต่เขายังไม่ทันลงม้าเสียด้วยซ้ำ
"นายท่านขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว"
"เกิดเรื่องอะไร" หย่งเทียนขมวดคิ้ว เห็นหน้าบ่าวชายตื่นตระหนกอย่างหนัก เขาใจหายวูบ มีเรื่องอันใดกันแต่เช้าตรู่ถึงขนาดบ่าวไพร่วิ่งกันแตกตื่น
"หลงจู๊กิมฮงหนีไปพร้อมกับตั๋วเงินของร้านค้าทั้งหมด ซ้ำยังเอาโฉนดที่ดินร้านค้าไปจำนองด้วยขอรับ"
"ห๊า...เจ้าว่าอย่างไรนะ" หย่งเทียนเหงื่อแตก รีบกระโดดลงจากม้าไปที่ร้านค้าของตนเอง
เพราะความไว้ใจแท้ ๆ เชียว เรื่องทุกอย่างจึงได้กลายเป็นแบบนี้
ร้านค้าว่างเปล่า แม้แต่เก้าอี้ตัวเดียวก็ไม่เหลือ หลงจู๊กิมฮงหนีไปพร้อมกับสินค้าแพรพรรณรวมถึงโต๊ะเก้าอี้ในร้านก็ไม่เหลือ คงมิอาจเรียกได้ว่าหนี เรียกว่ายกเค้าเสียดีกว่า
"เถ้าแก่หนิงเอาสาส์นหนี้มาให้นายท่าน บอกว่าหลงจู๊เป็นคนเอาโฉนดที่ดินไปจำนองขอรับ"
"ข้าเก็บโฉนดไว้ที่บ้านข้า เขาจะเอาไปจำนองได้อย่างไร"
"นายท่านไว้ใจให้หลงจู๊เข้าออกบ้านได้เป็นประจำ เขาจึงแอบนำเอาฉบับปลอมไปสับเปลี่ยนออกมาจากตู้ขอรับ แล้วเอาฉบับจริงไปจำนอง"
"แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร"
"ข้าถูกมัดไว้ในร้านขอรับ ได้ยินพวกเขาพูดกันก่อนขนของหนีออกไป พวกเถ้าแก่หนิงมาแจ้งยึดร้านตอนเช้า พวกเขาเห็นข้าถูกมัดไว้ในร้านจึงช่วยแก้มัดให้"
"บัดซบ!" หย่งเทียนรู้สึกสิ้นหวัง
สามีสัญญากับภรรยาว่าจะนำกำไรร้านค้าทั้งหมดพานางไปล่องเรือเที่ยวเสียด้วย ตอนนี้เขากลายเป็นคนหมดตัวล้มละลายเพราะความไว้ใจลูกน้องคนสนิท หย่งเทียนเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น เหงื่อแตกเต็มหลังทั้งที่อากาศเย็นเฉียบ
เป้ยฉีจะทอดทิ้งเขาหรือไม่ หากเขากลายเป็นคนไร้เงินทอง ไร้อาชีพ ชายหนุ่มเป็นกังวลเรื่องเมียรัก นางยิ่งไม่ยอมมีบุตรผูกพัน เขาจะรั้งนางได้อย่างไร
หย่งเทียนคิดหาทางออกอยู่นาน ร่างสูงนั่งจุกอยู่ที่มุมหนึ่งในร้านอย่างหมดแรง ความคิดน่าอายผุดขึ้นในหัว เขากำลังคิดถึงพี่ชายต่างบิดา พี่ชายของเขามีนามว่าซุ่นหลง เป็นถึงคหบดีเมืองซางซุน เขาไม่ค่อยได้ติดต่อกับพี่ชาย กระดากอายยิ่งนักเมื่อยามตกยากตนจะบากหน้าไปขอพึ่งพา
หย่งเทียนเดินออกมาด้านนอก เงินในอกเสื้อเหลือเพียงสามตำลึง บ่าวชายอีกสาม สาวใช้อีกสอง ไหนจะต้องรับผิดชอบภรรยาอีก
ชายหนุ่มอับจนหนทาง เขาคงต้องไปปรึกษาเรื่องนี้กับภรรยาเสียหน่อย เบี้ยรายเดือนจ่ายบ่าวไพร่สาวใช้ก็ไม่มี จะให้นางตกยากลำบากได้อย่างไร สตรีงามเช่นเป้ยฉีคงหนีเขาไปเป็นแน่
หย่งเทียนกลับไปที่บ้านเห็นภรรยากำลังนั่งแทะเม็ดกวยจี๊อยู่อย่างสบายอารมณ์
"แย่แล้วเป้ยฉี ร้านของข้าถูกหลงจู๊ยกเค้าไปจนเกลี้ยง ซ้ำที่ดินยังติดจำนอง"
"เพราะเจ้ามันไม่เอาไหนเอง"
"แล้วเจ้าเล่า ช่วยข้าทำมาหากินอันใดบ้าง"
นางเงยหน้าขึ้นจากจานเม็ดกวยจี๊ ผมเผ้ายุ่งเหยิงยังมิอาจลดทอนความงามตามธรรมชาติของนางได้
"เถ้าแก่หนิงมาที่บ้าน เขาบอกว่าหากไม่มีเงินจ่ายค่าไถ่โฉนด ให้ยกข้าให้เขาเพื่อใช้หนี้"
"เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร" หย่งเทียนโกรธจัด เขาไม่ยอมเสียเมียแลกโฉนดเป็นแน่
"เจ้าหล่งจู๊ตัวแสบนั่นเอาโฉนดไปจำนอง สัญญาร้อยละยี่สิบต่อเดือน ยอดหนี้พุ่งสูงขึ้นหลายเท่า พวกเราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย"
"ข้ามีพี่ชายต่างบิดา เขาร่ำรวยล้นฟ้าเป็นถึงคหบดีเมืองซางซุน เราอาจต้องไปหาเขาเพื่อให้เขาช่วย"
เป้ยฉีใจเต้นแรง นางเคยพบซุ่นหลงคราหนึ่งตอนนางแต่งให้หย่งเทียน ซุ่นหลงช่างสง่างามหาใดเปรียบ อีกทั้งยังร่ำรวยขยันทำมาหากิน เป้ยฉียังจำภาพตนเองยกน้ำชาให้พี่สามีในฐานะน้องสะใภ้ มือหนาเรียวอย่างบัณฑิตยื่นมือมารับถ้วยชา เพียงปลายนิ้วพี่สามีแตะสัมผัสปลายนิ้วของนาง ดั่งมีกระแสพลังบางอย่างวิ่งผ่านร่าง นางสวมชุดเจ้าสาวแต่มองพี่เจ้าบ่าวตาเป็นมัน ซุ่นหลงทั้งเฉลียวฉลาดทั้งร่ำรวย ไม่ว่าสตรีนางใดก็อยากเป็นสตรีของเขาทั้งนั้น
"อย่าได้ชักช้า เราไปเยี่ยมพี่ชายของท่านกันเถิด" เป้ยฉีเดินลิ่วเข้าไปเก็บของอย่างไม่รีรอ
พี่สามีช่างน่ากินยิ่งนัก นางอยากเจอเขาเร็ว ๆ