“เจ้า!!!”
แม้ว่าอยากจะเตะส่งอัดก้นมันสักทีสองที กลับไม่ทันเพราะมันไวอย่างกับลิงป่า
[เรือนดอกท้อ]
ฮูหยินหลับมาครึ่งวันแล้วก็ไม่ตื่นสักที ห้องครัวส่งโจ๊กเปล่ามาให้หนึ่งถ้วยพร้อมกับผักกาดดอง จื่อฝูเห็นแล้วก็อนาถใจ
จวนโหวหาได้แร้นแค้นไม่ แต่อาหารไม่เคยส่งถึงเรือนหลังอย่างที่ฮูหยินกล่าวไม่มีผิด ทั้งยังมีแค่โจ๊กที่พอจะเป็นโจ๊กข้าวฟ่างเนื้อเนียนสักหน่อยเท่านั้น
“กรรมอันใดของฮูหยินกันนะ” จื่อฝูไม่เคยกลัวความลำบาก แต่ว่านี่มันเกินไปนัก ท่านฮูหยินนี่ต่างอันใดจากนักโทษกัน
แค่ก แค่ก แค่ก !!!
ขณะที่กำลังคิดถึงชะตาอันแสนโชคร้ายนี้ เสียงไอของฮูหยินก็ดังขึ้น เรียกให้นางที่นั่งอยู่ข้างเตียงคุกเข่ายืดตัวขึ้นยกมือสัมผัสเนื้อตัวของฮูหยิน
“ตัวร้อน!” แย่แล้วฮูหยินเป็นไข้
“น้ำ...ข้าขอน้ำหน่อย” คนที่นอนมานานขาดน้ำจึงร้องเรียกหาน้ำด้วยเสียงแหบแห้ง
“น้ำเจ้าค่ะฮูหยิน” จื่อฝูรีบรินชาให้ฮูหยินดื่ม น้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการไอลงได้
“ขอบใจเจ้ามาก...” นางมองสาวใช้ด้วยดวงตาพร่ามัว ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ทำให้รู้ตัวเองว่าไม่สบายกายนัก อาการหนาว ๆ ร้อน ๆ ทำให้นางอยากอาบน้ำ
“ฮูหยิน...ทานโจ๊กหน่อยหรือไม่ ห้องครัวเอาโจ๊กกับผักดองมาให้ ข้าอุ่นไว้แล้ว”
“มีแค่โจ๊กและผักดองหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“ลำบากเจ้าไปด้วย” เพราะสาวใช้ต้องกินเหลือของเจ้านาย และหากมีเพียงเท่านั้นจะแบ่งกันเช่นไร
“ข้าไม่สบายเช่นนี้ คนพวกนั้นรู้หรือไม่” นางกังวลว่าหากเขารู้ว่านางไม่สบาย จะคิดว่านางสำออยเรียกร้องความสนใจจากเขา ทั้งที่นางหมายต้องการตัดขาดเขาออกจากชีวิต
“ยังไม่รู้เจ้าค่ะ”
“ห้ามบอกออกไป เจ้าไปเอาจินอิ๋นฮวา(ดอกมะตูมแก้ไข้) ไปต้ม ใส่จินอิ๋นฮวาหนึ่งส่วนน้ำสามส่วนตั้งให้เหลือน้ำหนึ่งส่วนแล้วเอามาให้ข้าดื่ม” นี่เป็นตำรับยาที่ท่านแม่เคยสอนนางไว้ เป็นตัวยาพื้นบ้านที่หาง่าย เพราะยาในวังนั้นยากต่อการเบิกหากฮองเฮาไม่ได้เป็นคนสั่ง
ต่อให้เป็นองค์หญิงก็รันทดไม่แพ้เป็นฮูหยินจวนนิ่งอันโหวเท่าใดนัก
“อ้อเจ้าเอาน้ำเย็นมาให้ข้า ข้าจะเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ความร้อนระบายออกจากกาย”
“ถอดออกหมดหรือเจ้าคะฮูหยิน”
“ใช่...หากไม่ ไข้จะไม่ลด” นี่มันไข้ตัวร้อนต้องทำให้ร่างกายระบายความร้อนออกให้สะดวกจะทำให้ไข้ลดเร็ว
“เจ้าค่ะ”
เมื่อจื่อฝูออกไป นางก็นอนห่มผ้าให้หนา ๆ แม้จะร้อนหากเหงื่อออกจะทำให้ร่างกายดีขึ้น
ไม่นานจื่อฝูก็นำน้ำใส่อ่างมาเช็ดตัวให้กับผู้เป็นนาย แล้วนำผ้าฝ้ายชุบน้ำบิดหมาดวางที่ศีรษะของนายสาว แล้วไปดูยาที่ตัวเองต้มว่าได้หรือยัง
เมื่อยาได้แล้ว นางก็เอาโจ๊กที่อุ่นให้ร้อนมาป้อนผู้เป็นนาย แต่ฮูหยินกลืนได้ยากเย็น เพียงแค่คำเดียวก็ส่ายหน้า
“พอแล้ว...ข้าเจ็บคอกลืนไม่ลง” จิวฮวาส่ายหน้าให้กับสาวใช้ทันที
“อีกสักคำเถิดฮูหยินท่านมิได้ทานสิ่งใดเลย”
“ข้าขอจิบน้ำอุ่นเถิด” นางกินไม่ลงจริง ๆ
หลังจากจิบน้ำแล้ว ก็ล้มตัวลงนอนให้จื่อฝูเช็ดตัวให้อีกรอบ เหงื่อออกมากแล้วเดี๋ยวคืนนี้น่าจะดีขึ้น
“เจ้ากินเสียเถิด ไม่ต้องห่วงข้า” จิวฮวามองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็รู้สึกอนาถใจ นางพาจื่อฝูมาลำบากแท้เชียว
“ฮูหยิน...ข้าจะอุ่นไว้ให้ท่านทาน สาวใช้บอกว่าข้าวจะส่งมาแค่วันละครั้ง” จื่อฝูพูดทั้งน้ำตา เช่นนั้นวันนี้เจ้านายของตนคงมีแค่โจ๊กถ้วยนี้เท่านั้นที่ประทังชีวิต
“แล้วเจ้าจะกินอะไร”
“ลูกท้อในสวนมีมากเจ้าค่ะ ข้าเก็บมาไว้ตะกร้าใหญ่ กำลังทยอยกันสุกเต็มต้น”
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบาก”
“ฮูหยิน...อย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ ท่านเคยช่วยบ่าวมามาก แค่นี้บ่าวทนได้”
“เจ้ากินโจ๊กเถอะ ข้ากินไม่ได้อย่างไรมันก็ต้องถูกทิ้งอยู่ดี เจ้ากินยังพอให้อิ่มท้อง มื้อต่อไปเจ้ากับข้ากินลูกท้อกันดีหรือไม่” เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งรินลงสองข้างแก้ม ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นของผู้ที่เป็นดั่งพี่สาวแสนดีผู้นี้ยิ่งทำให้นางเจ็บปวดใจนัก
“อดทนนะเจ้าคะ ฮูหยิน” สองนายสาวต่างปลอบโยนกันและกัน จนจิวฮวาหลับไปอีกครั้ง และจื่อฝูจึงไปห้องซักล้างด้านหลังจัดการซักเสื้อผ้าของนายและของตนตากเอาไว้
นิ่งอันโหวเดินไปเดินมาในห้อง หมายรอว่าจะมีผู้ใดมาแจ้งว่าฮูหยินของตนเองก่อเรื่องหรือทำสิ่งใดหรือไม่ แต่ก็เงียบสนิทไร้การเคลื่อนไหวจนตนเองเริ่มหงุดหงิด
เสี่ยวหมิงนั่งหาวแล้วหาวอีก แต่ท่านโหวก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินทั้งสะบัดแขนเสื้อไปมาจนเขาเวียนหัวไปหมด
“เสี่ยวหมิงเจ้าไปสืบดูอีกรอบ เรือนหลังเรียกร้องสิ่งใดหรือไม่” เขาให้คนเฝ้า แต่ทว่ากลับไม่มีใครกลับมารายงานเลย
“ขอรับท่านโหว” ร่างองอาจขององครักษ์หนุ่มเดินมาที่หน้าประตูเรือนหลัง แต่ก็เงียบนิ่งสนิท แม้คนที่อยู่ภายในก็ไม่เห็นเดินขวักไขว่ราวกับไม่มีคนอยู่ในเรือนเช่นนั้น
เขากลับไปรีบแจ้งแก่ท่านโหว แต่เมื่อหันหลังร่างของเจ้านายก็ยืนชะโงกซ้อนหลังอยู่เช่นกัน
“ชะอุ้ย...! ท่านโหว”
“ข้านะสิ หาใช่ผีสางไม่” เดี๋ยวนี้เจ้าเสี่ยวหมิงมันขวัญอ่อนแต่เมื่อไหร่กัน
“มาเงียบ ๆ ข้าไม่ทันระวังก็ตกใจนะขอรับ” แววตาตัดพ้อกับผู้เป็นนายส่งไป แม้ว่าไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินมาเองให้เหนื่อยรอเขากลับไปแจ้งก็ได้แล้ว
“แล้วเจ้าเห็นสิ่งใดหรือไม่” คนที่โผล่มาจากไหนอีกคนก็ไม่รู้ชะโงกมองเข้าไปด้านใน จนสองคนที่มาก่อนมองหน้า
“โหยงเยี่ยนเจ้ามิได้ไปเที่ยวตลาดหรอกหรือ”
“ตลาดไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์เท่าจวนนิ่งอันโหวหรอก” เขาเห็นสองคนเดินมาจากห้องทีละคน โดยเฉพาะสหายสนิทอย่างอวิ๋นหยาง ทำให้อยากรู้อยู่ครามครันว่าทำอันใดกัน
“เจ้า...!” มันนี่ช่างสอดรู้นัก
“ไม่เห็นสิ่งใดเลยท่านโหว...หรือฮูหยินหนีไปแล้ว” สิ้นคำพูด คนที่รีบเดินราวกับเหาะได้พุ่งเข้าไปในเรือนดอกท้อทันทีโดยไม่รั้งรอ
“ไหนบอกว่าไม่มีใจไงเสี่ยวหมิง” กุนซือหนุ่มแบะปากมองบน และเดินตามเข้าไปพร้อมกับเสี่ยวหมิง
“...” เสี่ยวหมิงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน