ราวหนึ่งชั่วโมงได้ แท็กซี่ก็พาเพียงฝันมาถึงโรงพยาบาลแถวชานเมือง
"ฮึก น้องโปรดน้องปราณ" เห็นสภาพลูกแล้ว เพียงฝันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สองเด็กหลับคาสายน้ำเกลือไปแล้ว ทุกส่วนของร่างกายเด็กสี่ขวบกว่าแทบจะไม่มีตรงไหนที่ไม่มีผื่นแดงๆ ขึ้นเลย โดยเฉพาะเปลือกตาที่บวมเป่งเหมือนโดนผึ้งทั้งรังต่อย
"หมอฉีดยาแก้แพ้ให้แล้วครับ คืนนี้ให้เด็กๆ แอทมิดดูอาการสักคืนก่อน ถ้าพรุ่งนี้ผื่นยุบก็น่าจะกลับบ้านได้ แต่คุณแม่ต้องระวังให้มากกว่านี้นะครับ ขืนมาโรงพยาบาลช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เด็กๆ แย่แน่"
"ต่อไปฉันจะระวังให้มากกว่านี้ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ"
เพียงฝันอยู่เฝ้าลูกชายลูกสาวฝาแฝดอยู่เกือบสองชั่วโมงเต็ม ก่อนจะคิดได้ว่าเธอควรย้ายแฝดไปห้องพิเศษแทนห้องผู้ป่วยรวม เนื่องจากตอนนี้มีผู้ปกครองหลายคนที่มาเฝ้าลูกพร้อมใจกันมองมาที่เธอและซุบซิบแปลกๆ
"ค่าห้องพักพิเศษจะอยู่ที่คืนละเจ็ดพันบาทนะคะ"
"จะ...เจ็ดพันเลยเหรอคะ" แพงจนเพียงฝันเหงื่อตก ตอนนี้เธอมีเงินติดตัวเหลือแค่สามพันกว่าบาท เพราะงั้นเลยต้องโทรขอยืมผู้จัดการไปก่อน
"ไว้ฝันจะรีบหามาคืนนะคะพี่ดีดี๊"
[ไม่เป็นไร ไว้มีเมื่อไหร่ค่อยคืนก็ได้ ช่วงนี้งานก็ไม่ค่อยมีนี่นา ขนาดฉันวิ่งหางานให้แกจนขาขวิดแล้วแท้ๆ ว่าแต่หลานฉันเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยแล้วใช่มั้ย]
"ปลอดภัยแล้วค่ะ"
เพียงฝันคุยกับดีดี้อีกสองสามคำก็วางสายและรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน...บ้านที่เป็นบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ ที่เพียงฝันกับพ่อเก็บหอมรอมริบสร้างมันขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ กันใหม่ๆ
แกร็ก~
น้องโปรดและน้องปราณเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ร่างกายจึงไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ต้องคอยระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ เรื่องนี้เพียงฝันคอยย้ำเตือนกับมารดาเสมอว่าห้ามให้เด็กๆ กินอาหารสำเร็จรูปเด็ดขาด
ดังนั้นแวบแรกที่เห็นถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบนโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ กลางบ้าน เพียงฝันจึงโกรธจัดจนน้ำตาคลอ
พลั่ก!
เพียงฝันใช้เท้าเตะโต๊ะญี่ปุ่นล้ม ศรีไพรกลับมาทันเห็นเข้าพอดี แน่นอนว่าคนเป็นแม่ย่อมไม่พอใจ ปกติเพียงฝันก็ไม่ใช่ลูกรักของหล่อนอยู่แล้ว
"นี่แกเป็นบ้าอะไร โต๊ะก็อยู่ของมันดีๆ ไปถีบมันทำไม แล้วนี่จะกลับมาทำไมไม่บอก"
"แม่ไปไหนมา"
"ฉัน..." นางศรีไพรอึกอัก
"ไม่สิ ฝันต้องถามว่าแม่ไปเล่นไพ่ที่บ่อนจนไม่ได้กลับบ้านมากี่วันแล้วมากกว่า"
"กะ...กูกลับทุกวันเถอะ ไม่เชื่อมึงก็ถามไอ้สองแฝดมันดูได้"
"เมื่อไหร่แม่จะเลิกโกหกฝันสักที"
"นี่มึงกล้าด่ากูว่าตอแหลเลยเหรอ กูเป็นแม่มึงนะอีฝัน" ศรีไพรโมโหเพียงฝันจนขึ้นมึงขึ้นกู "แต่มึงกลับมาก็ดีละ กูจะได้ใช้เอาเงินไปใช้หนี้เขา เอามาสามแสน"
"ฝันไม่มี"
"กูไม่เชื่อ!"
"เจอหน้ากันก็มีแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน! แม่เห็นฝันเป็นอะไร ตู้เอทีเอ็มงั้นเหรอ เคยถามฝันบ้างไหมว่าทำงานเหนื่อยรึเปล่า หิวไหม อยากกินอะไร ช่วยถามฝันเหมือนที่เคยถามลูกสาวคนโปรดของแม่บ้างได้รึเปล่า!!"
"กูเลี้ยงลูกให้มึงก็เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว นี่กูยังต้องมาเอาอกเอาใจเด็กใจแตกตั้งแต่ 18 อย่างมึงอีกเหรอ เล่นละครกี่เรื่องๆ ก็ไม่ดัง หาเงินก้อนให้กูไม่ได้สักที แล้วยังมีหน้ามาโกหกกูว่าได้เป็นนางเอกอีก แล้วแบบนี้มึงยังจะกล้าเปรียบเทียบตัวเองกับครูเพลินตาอีกเหรออีฝัน"
ครูเพลินตา...อีฝัน แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
บางครั้งเพียงฝันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเป็นลูกแท้ๆ ของแม่หรือเปล่า
"งั้นแม่ก็ไปขอคุณครูเพลินตาลูกสาวสุดที่รักของแม่ก็แล้วกัน ฝันไม่มีให้หรอก น้องโปรดกับน้องปราณเข้าโรงพยาบาล ฝันต้องเก็บเงินไว้จ่ายค่าหมอให้ลูก"
"ตอแหล! กูเลี้ยงพวกมันอย่างดี หาข้าวหาน้ำให้กินครบสามมื้อ มันจะไม่สบายได้ยังไง มึงอย่ามาแผนสูงกับกูนะอีลูกเวร"
"แสดงว่าแม่ให้หลานกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตลอดเวลาที่ฝันไม่อยู่เลยสินะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเด็กๆ แพ้"
"มันอยากกินของมันเองเหอะ!"
เพียงฝันหมดคำจะพูดเลยหันหลังเดินขึ้นชั้นสองของบ้าน ปิดประตูห้องนอนพร้อมลงกลอน รีบอาบน้ำ เก็บเสื้อผ้าและข้าวของใช้ที่จำเป็นเตรียมไปนอนเฝ้าเด็กๆ ที่โรงพยาบาล
"อีฝันอีลูกชั่วมึงออกมาคุยกับกูให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ! เงินแค่สามแสน กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะไม่มี!"
เสียงด่าทอและทุบประตูรัวๆ ดังอยู่สิบกว่านาที แต่พอมีเพื่อนมาชวนไปเล่นไพ่อีกวง ศรีไพรก็รีบออกจากบ้านไปแก้มือทันที
"เฮ้อ" เพียงฝันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้เธอต้องทนกับแม่ในเรื่องพวกนี้ไปถึงเมื่อไหร่