สุนทรพยักหน้าเห็นจริงด้วย จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างไม่รู้จะทำยังไงดี จนอุไรมองไปที่ตะกร้า แล้วนึกอะไรขึ้นได้ หยิบตะกร้าขึ้นมาใช้มืออีกข้างค้นหาของที่อาจจะบอกได้ว่าเด็กน้อยนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วก็เป็นจริง เมื่ออุไรเจอกระดาษแผ่นหนึ่งเสียบอยู่ข้างๆหมอนลายการ์ตูน
อุไรหยิบขึ้นมาดู แล้วอ่านเสียงดัง “ลูกของคุณพบขวัญ ฝากคืนแม่เด็กด้วย”
“อ้าว! เฮ้ย นี่ลูกของคุณพบขวัญนี่หว่า” เสียงยามอุทานพร้อมกัน
“แล้วนี่คุณพบขวัญรู้หรือเปล่าว่าลูกถูกทิ้งอยู่ที่นี่ เราจะทำยังไงกันดีพี่สุนทร พ่อเด็กเอามาทิ้งหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่ก็คุณพบขวัญเขาท้องไม่มีพ่อนี่” พูดจบแล้วยามสาวใหญ่ก็ปิดปากแทบไม่ทัน
“โทรขึ้นไปหาคุณพบขวัญสิ เธอมาทำงานหรือยัง”
“เอ๊ะ ฉันยังไม่เห็นรถคุณพบขวัญมาสองวันแล้วนะ แต่ยังไงเดี๋ยวลองโทรขึ้นไปก็ได้” สุนทรเป็นฝ่ายโทรขึ้นไป แต่ไม่มีใครรับสายจึงวางไปทั้งสีหน้าเครียด
พบขวัญเป็นพนักงานระดับหัวหน้า สุนทรเห็นหน้าบ่อยๆแต่ไม่เคยพูดคุยอะไรกัน อีกฝ่ายยิ้มเก่ง ไม่ใช่คนถือตัวอะไรบางครั้งก็มีขนมมาฝาก เธอน่ารัก ดีทุกเรื่องยกเว้นท้องไม่มีพ่อแต่อีกฝ่ายก็สตรองอุ้มท้องและทำงานจนลูกคลอดทนเสียงนินทาซุบซิบได้ใครๆ ก็ว่าพบขวัญมีความอดทนสูงมาก
“เอาอย่างนี้อุไร แกดูเด็กไปก่อน ฉันว่าคุณขวัญต้องทะเลาะกับพี่เลี้ยงเด็กแน่ๆ เพราะฉันเห็นมีป้าคนหนึ่งเดินลับๆล่อๆอยู่ตรงที่เราเจอหนูน้อยคนนี้ ตอนนั้นฉันไม่เอะใจอะไร แต่ตอนนี้ฉันว่าต้องเป็นป้าคนนั้นที่เอามาทิ้งแน่ ป่านนี้แม่เขาคงหาลูกไปทั่วแล้ว ไว้รอให้คุณพบขวัญมารับแล้วกัน”
อุไรพยักหน้า “ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละพี่ คุณขวัญห่วงลูกจะตาย ต้องมีอะไรสักอย่าง”
“เออๆ ฉันก็สงสัย ไว้รอถามคุณขวัญ เฮ้ย นั่นรถท่านประธานคนใหม่มา เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูก่อน” สุนทรร้องโหวกเหวก จำเลขทะเบียนได้ สุนทรจึงรีบหันกลับไปประจำหน้าที่อย่างกระตือรือร้น
“รีบไปเถอะพี่” อุไรก็รีบละล่ำละลักบอก พะวักพะวงกับเด็กน้อยปนกับงานในหน้าที่
ข่าวประธานคนใหม่จะมาทำงานวันนี้วันแรกเป็นข่าวดังกระหึ่มทั่วบริษัท นับแต่ข่าวการหายตัวไปของเจตนิพัทธ์และตามมาด้วยข่าวอาการป่วยของประธานคนเก่า พนักงานทุกคนตกใจกับข่าวนี้ เตรียมตัวกันแทบไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทุกคนคิดว่าประธานคนต่อไปต้องเป็นเจตนิพัทธ์ลูกชายคนเดียวของประธานคนเก่า แต่เรื่องกลับตาลปัตรเมื่อประธานคนใหม่เป็นชาวต่างชาติหน้าตาหล่อเฟี้ยวแต่เขี้ยวลากดินในแง่ธุรกิจมาทำงานแทน
ประธานคนเก่าเข้ามากับว่าที่ประธานคนใหม่เมื่อวานแล้วสั่งเปิดประชุมด่วน เพื่อแจ้งให้พนักงานทุกคนทราบว่าจะมีประธานคนใหม่ที่ชื่อโดมินิก เดฟ เฮลตันมาทำงานแทน แล้วกลับออกไปทันทีหลังทำหน้าที่เป็นครั้งสุดท้ายเสร็จ ข่าววงในบอกเพียงแค่ว่าบริษัทขาดสภาพคล่องจนต้องขายหุ้นทั้งหมดให้นักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาบริหารงาน ซึ่งเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆวันนี้ผู้บริหารระดับสูงหลายคนต่างกำลังรอต้อนรับการมาถึงอย่างเป็นทางการของประธานคนใหม่อย่างพร้อมเพรียง
สุนทรกดปุ่มเปิดประตูอัตโนมัติ รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าป้อม แต่ขณะที่สุนทรกำลังยกมือตะเบ๊ะอยู่นั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น กระจกรถยนต์คันหรูตรงเบาะด้านหลังเลื่อนลง แล้วคนที่นั่งอยู่ภายในรถก็หันมาทักทาย
“สวัสดี” โดมินิกทักเป็นภาษาไทยที่ฝึกฝนมานานแล้ว เขาต้องการรู้จักผู้คนของที่บริษัทฯแห่งนี้ตั้งแต่ยามเฝ้าประตูไปจนถึงกรรมการบริหาร มันเป็นเทคนิคการบริหารงานของเขาที่ต้องการซื้อใจคนทำงานให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้องค์กร เขายอมสละเวลาเพียงหนึ่งนาทีแต่จะได้แรงใจกลับมาเป็นความกระตือรือร้นตั้งใจทำงานให้องค์กรอีกมากโข ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วคุ้มค่ากว่าการแจกโบนัสเพิ่มเป็นไหนๆ
“สะ สวัสดีครับ” สุนทรละล่ำละลักตอบด้วยความตกใจปนประหม่า ร้อยวันพันปีไม่มีผู้บริหารระดับสูงเยี่ยมหน้ามาทักทาย อย่างมากสุดก็เป็นแค่ระดับผู้จัดการเท่านั้น แต่นี่เขากำลังคุยกับคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบริษัทแห่งนี้ สุนทรตกใจจนแข้งขาสั่นแล้วยิ่งต้องตกใจหน้าซีดเผือด เมื่อทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีแต่เสียงแผดร้องของเด็กทารกกลับดังขึ้นก่อนที่รถประธานจะเคลื่อนออก
“อุไร เอาเด็กไปไว้ที่อื่น” สุนทรหันมาสั่ง จะตกงานกันหมดก็คราวนี้
“นั่นเสียงเด็กที่ไหน”
“อะ เอ่อ...”
“ว่ายังไง ทำไมถึงเอาเด็กมาเลี้ยงในที่ทำงาน ที่นี่เขาอนุญาตให้เอาเด็กมาเลี้ยงได้ด้วยเหรอ” เสียงโดมินิกเริ่มเปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นแข็งกระด้าง ดวงตาสีฟ้าลุกวาบๆ
เขาไม่พอใจที่พนักงานขาดการอบรมดูแลจนกระทั่งยามยังเอาลูกมาเลี้ยงที่ทำงานได้ โชคดีที่เขาแวะดูความเรียบร้อย จึงเห็นเข้าเสียก่อนว่าที่นี่หย่อนยานเรื่องกฎระเบียบกันแค่ไหน
ร่างสูงเปิดประตูลงมาด้วยท่าทางเอาเรื่อง เขาจะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ ถ้าเกิดอันตรายกับเด็กจะทำอย่างไร
“มะ ไม่ใช่ลูกผมครับ”
“มะ ไม่ใช่ลูกดิฉันเหมือนกันค่ะ ” แม้จะสงสารเด็กแค่ไหนแต่อุไรก็ยังไม่อยากอดตาย รีบวางเด็กใส่ตะกร้ากลับคืนแล้วก้มหน้าตัวสั่นเทา
“ถ้าไม่ใช่ลูกพวกคุณแล้วลูกใครกัน บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ชอบคนโกหก ผมไม่คิดจะเลี้ยงคนที่ไม่ซื่อสัตย์ไว้หรอกนะ ลูกทั้งคนยังไม่กล้ายอมรับ” เขาคำรามต่ำ มองจ้องหน้ายามทั้งสองคนที่ตกเป็นจำเลยโดยไม่มีใครออกมาช่วยเหลือ “เร็วเข้าตอบมา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงมีเด็กมาอยู่ที่บริษัทผมได้”
อุไรมองหน้าสุนทร แล้วเงยหน้าละลำละลักตอบ “ดิฉันไม่แน่ใจค่ะ แต่มีคนเอาเด็กใส่ตะกร้าแล้วมาวางไว้ มีกระดาษเสียบติดมาด้วยว่าเป็นลูกของคุณพบขวัญ”
คำบอกรัวเร็วของพนักงานตรงหน้าทำให้คิ้วเข้มของโดมินิกเลิกขึ้น “หา! ลูกของพบขวัญ”
“ใช่ครับ/ใช่ค่ะ” สุนทรกับอุไรพูดพร้อมกัน แล้วสุนทรซึ่งมีสติดีกว่ารีบสั่งเสียงเข้มกับอุไร “เอาไปวางคืนที่เดิมไป แล้วค่อยโทรแจ้งตำรวจ”
โดมินิกหายมึนงงทันทีที่เห็นพนักงานสาวใหญ่ลนลานไปหยิบตะกร้า ดีที่เขาเห็นแผลผ่าคลอดที่หน้าท้องแบนราบของพบขวัญมาแล้วจึงทำให้ไม่ประหลาดใจมากนัก “นั่นจะทำอะไร”
“อะ เอ่อ เอาเด็กไปวางข้างนอกป้อมยามค่ะท่านประธาน ท่านไม่ชอบไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวดิฉันค่อยโทรแจ้งตำรวจ” อุไรคิดว่าตัดปัญหาด้วยวิธีการนี้ดีที่สุด
“แจ้งตำรวจแล้วตำรวจจะช่วยอะไรได้ ไหนเอาเด็กมานี่สิ”
อุไรตกใจรีบยื่นตะกร้าให้ “นี่ค่ะท่านประธาน”
โดมินิกรับไว้แล้วต้องเบิกตากว้างเป็นคำรบสอง จ้องมองเด็กน้อยในตะกร้าตาไม่กะพริบ โดมินิกรู้สึกเหมือนเขาก้มมองเห็นตัวเองในแบบที่ย่อส่วนลงมาไม่มีผิด ทั้งใบหน้า นัยน์ตาสีฟ้า ช่างเหมือนเขาราวกับแกะพิมพ์ออกมา
โดมินิกอึ้งแล้วประคองตะกร้าขึ้นรถอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางสายตางุนงงของคนที่อยู่ในบริเวณนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านประธาน โดมินิกบอกคนขับรถให้กลับเพ้นต์เฮ้าส์ทันที เขาไม่มีสมาธิทำงาน เมื่อบางสิ่งที่สำคัญกว่านั้นอยู่ในตะกร้าตรงหน้า