ทุกเดือนอวี้หลิง นางจะปักถุงหอมมอบให้หวังหรงจื่อด้วยตนเอง ทั้งลวดลายที่นางร่างแบบออกมาก็ล้วนแต่แตกต่างกันออกไปทุกครั้ง
ภายในยังใส่เครื่องหอม ที่เป็นกลิ่นเดียวกับนางไว้อีกด้วย เพื่ออยากให้เขานึกถึงนาง ยามที่ได้กลิ่นจากถุงหอมที่มอบให้
“เอาไปเผาทิ้งเสีย” สายตาของอวี้หลิงมองที่ถุงหอมอย่างเฉยชา
“เร็วเข้า เจ้ายังต้องเก็บของให้ข้าไปจวนตระกูลซูอีก” อวี้หลิงเอ่ยเร่ง เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเถากำลังจะอ้าปากถามนาง
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเถาเกาหัวตนเองอย่างไม่เข้าใจ ของที่เคยมอบให้ไปแล้ว จะมาโผล่อยู่ภายในห้องของคุณหนูได้อย่างไร แต่ก็ยอมเดินออกไปเผาให้ตามคำสั่ง
อวี้หลิงมองไปรอบห้องอย่างปวดใจ หากเมื่อคืนนางไม่ย้ายไปนอนที่เรือนของบิดามารดา ก็ต้องพบเขาอีกอย่างแน่นอน การที่นางจะไปเที่ยวเล่นหาท่านตา ท่านยาย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกแล้วสำหรับนาง
“รีบเก็บของเถิด” อวี้หลิงร้องสั่งเสี่ยวเถา เมื่อนางเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง
ด้วยไม่รู้ว่าคุณหนูของตนจะไปพักที่จวนตระกูลซูกี่วัน เสี่ยวเถาจำต้องให้สาวใช้เข้ามาช่วยเก็บของไปหลายหีบ
ซูซื่อส่งบ่าวไปแจ้งที่จวนตระกูลซูตั้งแต่เช้าแล้วว่าอวี้หลิงนางจะไปค้างที่จวนด้วยหลายวันหน่อย เพียงแต่ไม่คิดว่าบุตรสาวจะไปวันนี้เลย
“หลิงหลิง พอนึกจะไปก็ไปเลยรึ ไม่รู้ท่านยายของเจ้าจัดเตรียมเรือนพักให้เจ้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ซูซื่อมองข้าวของที่สาวใช้ขนออกมาจากเรือนของบุตรสาวอย่างเหนื่อยใจ
“ก็ข้าคิดถึงท่านตา ท่านยาย จะไปวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็คงไม่ต่างกัน ท่านแม่เรื่องที่ลูกไปพักที่จวนตระกูลซู ท่านอย่าให้หลุดออกไปเด็ดขาดนะเจ้าคะ”
“เพราะอันใด เพียงแค่รถม้าของเจ้าเคลื่อนออกจากจวนผู้อื่นก็รู้แล้วกระมัง แล้วอีกสองวันตระกูลจางจะส่งแม่สื่อมา เจ้าจะยังไม่กลับรึ” ซูซื่อมองบุตรสาวอย่างแคลงใจ ดูเหมือนว่านางมิได้อยากไปเที่ยวเล่น แต่เหมือนว่าจะหนีผู้ใดมากกว่า
“อย่างไรสัญญาหมั้นหมายก็พูดคุยจนชัดเจนไปแล้วหกส่วน เหลือเพียงส่งแม่สื่อมาทำหน้าที่เท่านั้น ข้าไม่จำเป็นจะต้องออกหน้าเอง ท่านแม่ก็บอกคุณชายจางเอาไว้ หากเขาจะพูดคุยเรื่องใดก็ให้ไปพบข้าที่จวนตระกูลซูก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
“เอาเถิด ข้าปวดหัวกับเจ้านัก ไปให้ท่านตา ท่านยายเจ้าปวดหัวแทนข้าก็คงจะดีไม่น้อย” ซูซื่อโบกมือไล่บุตรสาวที่เข้ามาเกาะแขนนาง ให้รีบออกเดินทาง
“หากท่านคิดถึงข้า ไปเที่ยวหาข้าที่จวนท่านตานะท่านแม่” อวี้หลิงโบกมือลามารดาก่อนจะขึ้นรถม้าไปพร้อมกับเสี่ยวเถา
รถม้าของอวี้หลิงหยุดอยู่ที่หน้าจวนตระกูลซู พอนางลงจากรถม้าก็พบฮูหยินผู้เฒ่าซูผู้เป็นท่านยายรอรับนางอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านยาย” อวี้หลิงวิ่งเข้าไปสวมกอดฮูหยินผู้เฒ่าซูเอาไว้แน่น
“หลิงหลิง เจ้าเด็กดื้อไม่มาหายายเสียนาน แม่เจ้าเพียงให้บ่าวมาแจ้งยายเมื่อเช้ามาเจ้าจะมา แต่นางมิได้บอกว่าจะมาเมื่อใด ผู้ใดจะรู้พอสายเจ้าก็โผล่มาเสียแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าซูจิ้มหน้าผากของอวี้หลิงอย่างเอ็นดู
“ก็ข้าคิดถึงท่านอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ”
“ปากเคลือบน้ำตาลของเจ้า เอาไว้หลอกตาเฒ่าที่บ้านข้าเถิด” นางได้แต่มองค้อนหลานสาวอย่างรู้ทัน
หากเป็นท่านผู้เฒ่าซู รายนั้นไม่สนใจว่าหลานสาวตนจะซุกซนหรือทำผิดอันใด ก็ล้วนแต่พูดเข้าข้างนางทุกอย่าง
“แล้วท่านตาเล่าเจ้าคะ” พอเดินเข้าไปในจวน อวี้หลิงก็มองหาท่านตาของนางไปด้วย
“ตาเจ้า ออกไปดูที่ดิน ตระกูลถงจะขายที่นา อีกประเดี๋ยวก็คงจะกลับ” ตระกูลซูเดิมที เป็นตระกูลค้าขายมาก่อน เมื่อซูหนิงเหอ ท่านตาของอวี้หลิง สอบเป็นขุนนางได้ ก็ยกฐานะของตนขึ้นมา
แต่กิจการร้านค้าและที่นาก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ที่ทำไม่ไหวก็ปล่อยเช่าให้ชาวบ้านได้ทำกิน อาศัยเก็บผลผลิตจากชาวบ้านเพียงปีละไม่เท่าไหร่แทน
ตระกูลซูมีบุตรชายหญิงเพียงสองคน พี่ชายของซูเพ่ย ซูเถียนก็เลือกเดินเส้นทางค้าขายแทนที่จะเป็นขุนนางเช่นผู้เป็นบิดา ท่านลุงของอวี้หลิงจึงมิค่อยจะอยู่ที่จวน ด้วยต้องเดินทางไปทำการค้าต่างหัวเมืองอยู่เป็นประจำ
มีเพียงเกาซื่อผู้เป็นฮูหยิน อยู่ดูแลพ่อแม่สามีอยู่ที่จวน อวี้หลิงยังมีญาติผู้พี่อีกสองคน ทั้งสองล้วนแต่เป็นบุรุษ จึงมีเพียงนางที่เป็นหลานสาวเพียงหนึ่งเดียว
“หลิงหลิง เจ้าลืมป้าไปเสียแล้ว” เกาซื่ออมยิ้มมองอวี้หลิงอย่างหยอกล้อ
“ข้าจะลืมป้าสะใภ้ผู้งดงามของข้าไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ท่านแม่ ท่านดูหลานสาวท่าน ปากนางยังเคลือบน้ำตาลไม่เปลี่ยนเลย” เกาซื่อเขินอายไม่น้อย ผู้ใดเล่าจะไม่ชอบได้ยินคำชมจากผู้อื่น
“ข้ายังได้ข่าว ว่านางพูดยกยอจนฮูหยินจางอยากจะรีบส่งแม่สื่อมาขอนางเสียตั้งแต่งานเลี้ยงน้ำชา” เกาซื่อเข้ามาประคองแม่สามีเข้าไปในห้องโถง
“ท่านป้าก็พูดเกินไปเจ้าค่ะ เพราะข้างามเช่นท่านยายกับท่านป้าต่างหากเล่า”
“ฮ่า ฮ่า เจ้าดู ดูนาง” ฮูหยินผู้เฒ่าซูหัวเราะชอบใจ
ในตอนมื้อเย็นผู้เฒ่าซูกลับมาถึงจวน พอได้เห็นหลานสาวก็โผล่เข้ากอดกันแน่น
“ตาคิดว่าเจ้าจะลืมตาเสียแล้ว” เขาจับตัวอวี้หลิงหมุนดู ว่าตัวนางเติบโตขึ้นมากเพียงใด
“หากข้าลืมท่านตา ที่นาผืนใหม่ที่ท่านซื้อจะยกให้ผู้ใดเล่าเจ้าคะ”
“หึหึ เจ้าเด็กแสบ หากเจ้าอยากได้ตาจะยกให้เป็นสินเดิมของเจ้าดีหรือไม่”
“ท่านตาดีกับข้าที่สุด” อวี้หลิงกอดแขนซูหนิงเหอเอาไว้ พร้อมทั้งใช้ใบหน้าน้อยๆ ของนางถูอย่างออดอ้อน
“ท่านปู่ ท่านยกให้หลิงหลิงนางหมด แล้วข้าเล่าขอรับ” ซูเหิงบุตรชายคนรองของซูเถียนเอ่ยเย้าออกมา
“พี่เหิง ท่านก็สอบเป็นขุนนางให้ได้ ต่อไปท่านก็ใช้เงินเดือนของท่านซื้อเองอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ” อวี้หลิงเขยิบตาให้ซูเหิงอย่างซุกซน
“น้องน้อยของข้า พอจะออกเรือนก็เริ่มหวงสมบัติแล้ว” ซูจ้าน หัวเราะออกมาเบาๆ
“พวกท่านเองก็ต้องเติมสินเดิมให้ข้าเยอะๆ ด้วย น้องสาวเช่นข้าจะได้อยู่อย่างสุขสบาย” นางฉีกยิ้มจนตาหยี เห็นลักยิ้มทั้งสองข้างอย่างน่ามอง
“เหอะ ตระกูลจางมีสมบัติให้เจ้าผลาญทั้งชาติก็ยังไม่หมด ยังจะมาแย่งคลังเล็กๆ ของพวกข้าอีก” ซูเหิงดีดเมล็ดถั่วในมือใส่หน้าผากของอวี้หลิงอย่างมันเขี้ยว
“ท่านป้า พี่เหิงรังแกข้า” สายตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำของนางราวกับสั่งได้ คนตระกูลวูได้เห็นครั้งใดเป็นต้องใจเหลวทุกครั้ง
ซูเหิงจึงได้ถูกผู้เป็นพี่ชายลากคอออกไปฝึกวรยุทธ์เสียหลายกระบวนท่า เสียงหัวเราะใสๆ ที่ชอบเห็นพี่ชอบคนรองถูกพี่ชายใหญ่ทุบตีของอวี้หลิง ทำให้คนอื่นยิ้มตามนางไปด้วย
“หลิงหลิง เจ้ายอมตัดใจจากผู้ตรวจการหวังจริงรึ” ซูหนิงเหอ เอ่ยถามหลานสาวอย่างเป็นห่วง
“เจ้าค่ะ ข้าไม่อยากเป็นอนุของผู้ใด ดูท่านตา ท่านลุง ท่านพ่อ ไม่มีอนุในจวน มีแต่ความรักใคร่ ข้าอยากมีครอบครัวเช่นนี้”
“คิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว พักอยู่กับยายหลายวันหน่อย ประเดี๋ยวเจ้าออกเรือน ไม่รู้ว่าจะได้มาหาอีกเมื่อใด”
“ข้าจะอยู่กับท่านตา ท่านยายจนออกเรือนไปเลยเจ้าค่ะ ดีหรือไม่” อวี้หลิงส่งของว่างให้ท่านตา ท่านยายอย่างเอาใจ
พอมีเด็กสาวช่างพูดช่างเอาใจอย่างอวี้หลิงอยู่ภายในจวน คนตระกูลซูก็ดูจะพูดคุยเล่นกันมากกว่าทั้งปีรวมกันเสียอีก
ผิดกับหวังหรงจื่อ ที่เขาแอบมาที่จวนตระกูลฮั่วเป็นคืนที่สองแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของอวี้หลิงที่อยู่ภายในจวน
“เห้อ พอคุณหนูกับเสี่ยวเถาไม่อยู่ จวนก็เงียบเหงาไปไม่น้อยเลย”
“จริงเช่นเจ้าว่า หากคุณหนูอยู่นางคงหาเรื่องสนุกมาให้พวกเราทำได้ทั้งวัน”